Q: หนูเพิ่งไปบอกลาออกกับหัวหน้ามาค่ะ แต่หัวหน้าไม่รั้งหนูไว้เลยสักคำ ไม่มีการบอกว่าอย่าไป ไม่มีการยื้อเราด้วยการขึ้นเงินเดือนหรือยื่นข้อเสนออะไรสักอย่าง ถึงหนูตั้งใจจะลาออกอยู่แล้วแต่ก็รู้สึกว่าเฟลมากค่ะ รู้สึกว่าหรือที่ผ่านมาเราไม่มีคุณค่าพอให้เขาเสียดาย ยิ่งรู้สึกเจ็บที่ทำงานที่นี่ นี่หนูลาออกไปก็ดีแล้วสินะคะ พี่คิดอย่างไรคะ
A: ต้องกลับมาถามตัวเองก่อนว่า จุดประสงค์ในการเข้าไปบอกลาออกกับหัวหน้าในครั้งนี้คืออะไร ถ้าจุดประสงค์ของน้องคือเข้าไปลา เพราะได้คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าการลาออกเป็นทางออกที่สมควรที่สุด จะด้วยงานไม่ตอบโจทย์ชีวิต ได้งานใหม่ที่ดีกว่า หรือประเด็นใดก็ตาม ซึ่งได้คิดถี่ถ้วนดีแล้ว พี่ขีดเส้นใต้คำว่า ‘ได้คิดถี่ถ้วนแล้ว’ และการเข้าไปบอกหัวหน้าเป็นเพียงการบอกลา แจ้งให้ทราบว่าได้ตัดสินใจมาดีแล้ว พี่คิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ น้องก็ได้บรรลุจุดประสงค์ของน้องแล้ว คืออย่างไรเสียก็ลาออกอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะรั้งหรือไม่รั้ง ไม่ได้เป็นประเด็น
แต่ถ้าจุดประสงค์ของน้องคือการโยนไพ่ใบสุดท้ายให้หัวหน้าเพื่อใช้คำว่า ลาออก สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการดำเนินการบางอย่างเกี่ยวกับตัวน้อง เช่น จริงๆ ไม่ได้อยากจะลาออกหรอกแต่มีปัญหาในที่ทำงาน ที่ไม่ตอบโจทย์ชีวิตบางอย่างหรืออยากได้เงินเดือนขึ้นแล้วไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงสักที เลยคิดว่าถ้าโยนไพ่ลาออกนี่ลงไปจะกระตุ้นให้หัวหน้าเต้นผางทำอะไรสักอย่าง ปรากฏโยนไพ่ลาออกลงไปปั๊บ…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่ะ อันนี้หมาไหม…ก็หมาครับ
หมาเพราะเราไม่ได้ตั้งใจจะลาออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ใช้การลาออกเป็น ‘เกม’ ในการต่อรองทางอำนาจแล้วดันไม่บรรลุผลตามที่เราต้องการ เรากะว่าไพ่ใบสุดท้ายนี่แหละจะเป็นไม้ตายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่เราตั้งใจ แต่มันดันไม่เกิดขึ้น
ถ้าเป็นกรณีนี้พี่คิดว่าที่น่าเจ็บใจไม่ใช่เพราะเขาไม่รั้งเรา แต่ถ้าเจ็บใจตรงที่เราไม่คิดให้ถี่ถ้วนดีก่อน และใช้การลาออกเป็นแค่เกม เมื่อใช้มันเพื่อเป็นเกมก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันมีความเสี่ยงว่า ไพ่ใบนี้จะกดดันหรือสั่นคลอนหัวหน้าได้มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ถ้าเขารู้สึกว่าเสียเราไปไม่ได้จริงๆ เขาก็อาจจะทำอะไรสักอย่าง แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่นๆ ได้เช่นกัน เช่น เขาไม่ได้เสียดายเรา หรือเขารักเรานะ แต่ก็ไฟต์ให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้จริงๆ (เป็นหัวหน้ามันไม่ง่ายนะน้องเอ๋ย) หรือเขาอาจจะให้เราไม่ได้จริงๆ เพราะมันไม่อยู่ในวิสัยของบริษัท หรือเขาอาจจะหาทางเจรจากับเราเพื่อพบกันครึ่งทาง ให้เราอย่างที่เราต้องการทั้งหมดไม่ได้ แต่จุดไหนคือจุดที่ทั้งบริษัทและตัวน้องจะโอเคที่สุดก็ตกลงกันไป เพราะฉะนั้น มันมากไปกว่าการไม่เห็นคุณค่าของเรา ต้องมองให้กว้างกว่านั้น
เคยได้ยินเพลงปาล์มมี่ใช่ไหมครับ ‘แต่คนจะไปก็ต้องไป รักเท่าไรแต่ฉันคงทำได้เท่านี้’ นั่นแหละครับ เล่นสู้อุตส่าห์มาบอกขอลาออกขนาดนี้แล้ว เป็นหัวหน้าก็คงคิดว่าลูกน้องคิดมาดีแล้วจริงๆ จะรั้งก็เหมือนไปขวางความเจริญเขาหรือเปล่า เห็นคนจะไปเติบโตก็ต้องดีใจกับเขา อันนี้มองในมุมที่ว่าทำไมเขาไม่รั้งนะ
เราเข้ามาทำงานก็เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ระหว่างที่ทำงานอยู่ในบริษัท เราต่างเป็นผู้ให้และผู้รับจากบริษัทด้วยกันทั้งคู่ บริษัทให้คุณกับเรา เราเองก็ให้คุณกับบริษัท แต่บริษัทไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา และเราไม่ใช่ทั้งหมดของบริษัท เราเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ของกันและกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ที่จริงก่อนจะถึงจุดที่ไปบอกลาออก พี่คิดว่าเรากับหัวหน้าควรมีการคุยกันก่อนแล้วว่าเรามีปัญหาในการทำงานอะไร วางแผนการเติบโตบนเส้นทางการทำงานอย่างไร อยากทำอะไรในอนาคต พวกนี้เราน่าจะมีการคุยกับหัวหน้าอยู่แล้ว เพื่อที่ว่าหัวหน้าเองจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของเรา หรือรู้ว่าเราอยากให้หัวหน้าส่งเสริมเราอย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญหาจะได้รู้ว่าต้องแก้ไข อะไรคือความไม่สบายใจของเรา ไปจนถึงมีอะไรที่เราอยากให้บริษัทปรับปรุง
เมื่อมีการคุยกันอยู่แล้ว ทีนี้เราจะสามารถประเมินได้ง่ายขึ้นก่อนจะถึงการลาออก เช่น แจ้งปัญหาแล้วแต่ไม่เกิดการแก้ไขหรือเปล่า หรือไม่ได้รับการส่งเสริมจากบริษัทอย่างที่เราหวังไว้หรือไม่ ถ้ามันไม่ตรงกับความต้องการของเราแล้วจะลาออกอันนี้ก็เข้าใจได้ แต่ถ้ายังไม่ได้คุยอะไรกันเลยแล้วจู่ๆ เดินไปลาออก พี่ก็คิดว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ยังไม่ทันได้แก้ปัญหาแต่ไปตัดตอนมันเสียเลย ซึ่งบางปัญหามันยังไม่ต้องแก้ด้วยการลาออกก็ได้นะครับ บางปัญหาแก้ได้ด้วยการคุยกัน แล้วถ้าคุยแล้วยังไม่โอเค จะลาออกอันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ถือว่าความต้องการไม่ตรงกัน ทั้งเราและหัวหน้าก็จะได้เข้าใจกันด้วย
ทีนี้ ไม่ว่าหัวหน้าจะรั้งหรือไม่รั้งเราไว้ พี่คิดว่าการทำงานที่ผ่านมาก็มีคุณค่ากับตัวน้องทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับว่าแค่หัวหน้าไม่ยื้อเราแปลว่าเขาไม่เสียดายเรา อย่างน้อยในบริษัทนี้ก็ให้ประสบการณ์กับน้อง ให้เงินเดือนน้อง ให้สังคม ให้สิ่งแวดล้อมบางอย่างในช่วงขณะหนึ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็เป็นบทเรียนให้เราได้ทั้งหมด เป็นทุนทางประสบการณ์ที่เราเอาไว้ต่อยอดได้ รวมทั้งหล่อเลี้ยงชีวิตเราได้ในช่วงเวลาที่เราทำงานด้วย เพราะฉะนั้น บันไดทุกขั้นมีคุณค่ากับเราทั้งหมดแหละครับ
ถ้าพี่จะบอกความจริงในชีวิตอะไรบางอย่างกับน้อง พี่อยากบอกน้องว่า อย่าคิดเอาเรื่องเสียดายเราหรือไม่เสียดายมาเป็นประเด็นในชีวิตเลยครับ เพราะความจริงในชีวิตก็คือ จะเสียดายหรือไม่เสียดายเราก็ตาม บริษัทอยู่ได้ครับ อย่างไรก็อยู่ได้ ไม่มีเราสักคนก็ยังอยู่ได้ มีคนมาแทนที่เราได้อยู่แล้ว
ฟังดูน่าเจ็บปวดใช่ไหมครับ อันนี้แล้วแต่มุมมองนะครับ แต่มองอีกมุม มันช่วยให้เราไม่ยึดติด ไม่ทำให้เราสำคัญตัวผิดว่าเป็นศูนย์กลางจักรวาล เราเข้ามาทำงานก็เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ระหว่างที่ทำงานอยู่ในบริษัท เราต่างเป็นผู้ให้และผู้รับจากบริษัทด้วยกันทั้งคู่ บริษัทให้คุณกับเรา เราเองก็ให้คุณกับบริษัท แต่บริษัทไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา และเราไม่ใช่ทั้งหมดของบริษัท เราเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ของกันและกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าถึงเวลาหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนนี้ไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จะเสียดายแค่ไหน จะเจ็บปวดแค่ไหน ก็ต้องอยู่ได้ ต่างคนต่างไปเติบโตกันต่อ
พี่ไม่รู้ว่าน้องเดินจากบริษัทของน้องด้วยความรู้สึกแบบไหน เจ็บปวด เสียใจ หรืออะไร แต่อยากให้น้องมองไปข้างหน้า และเมื่อไรที่มองย้อนกลับมาที่บริษัทเก่านี้ ขอให้นึกถึงเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องที่ไม่ดีนั้น เอาว่าอย่างน้อยมันก็เป็นครูของเราล่ะนะ จะเอาความรู้สึกไม่ดีคอยทิ่มแทงตัวเองต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ ทางข้างหน้ายังอีกไกล
ก็บอกแล้วว่ามีเราหรือไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้ เช่นกัน มีหรือไม่มีเขา เราก็ต้องอยู่ได้
เราก็ต้องอยู่กับความจริงข้อนี้ให้ได้และเติบโตต่อไปนะครับ แทนที่จะห่วงว่าเขาจะเสียดายเราไหม เราจะหมาหรือเปล่า พี่คิดว่าตอนนี้น้องไปเติบโตให้เปล่งประกายที่สุดให้เขาชื่นชมยินดีกับน้องดีกว่า
พี่เองก็จะรอชื่นชมน้องเช่นกันครับ
* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai