เพราะอำนาจที่แท้จริงของผู้นำเทรนด์ในยุคนี้ไม่ใช่แค่การคิดให้ต่าง แต่ต้องเป็นผู้คิดกว้าง มองไกล วิเคราะห์เก่ง และฉลาดเลือกสิ่งที่เชื่อว่าจะตอบโจทย์ตัวเองและมีคุณค่าต่ออนาคต อธิบายให้เห็นภาพยิ่งขึ้น ลองมองผ่านแบรนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเทรนด์ทั่วโลกที่มีฐานลูกค้าเหนียวแน่นมักจะมีลักษณะที่เหมือนกัน คือไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตเพื่อตอบรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะสิ่งที่ผู้นำคำนึงไม่ใช่เพียงความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่ต้องเป็นต้นแบบให้กับผู้ตามได้เห็นว่าอะไรคือ ‘สิ่งที่ดีกว่า’ ไม่เว้นแม้แต่การเลือกซื้อรถยนต์
แม้จะมีงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ที่ซื้อรถยนต์ใหม่ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2562 จำนวน 520 คนในประเทศไทย ที่ชื่อว่า ‘Gearshift 2019: Purchase Journey of Thai New Car Buyers’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Google และ Kantar พบว่าปัจจุบันการเลือกซื้อรถก้าวข้ามไปสู่การตัดสินใจด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น ดังนั้นเทรนด์การเลือกซื้อรถของผู้บริโภคยุคใหม่จึงถูกกำหนดด้วยดีไซน์ ความสวยงาม หรูหรา มีเอกลักษณ์เฉพาะ อินเทรนด์ และสามารถเติมเต็มให้กับไลฟ์สไตล์ของชีวิตได้
ข้อมูลเชิงสถิติคืออาวุธใหม่ของผู้นำ
แต่ผู้นำเทรนด์จะไม่ใช้เพียงอารมณ์ในการตัดสินใจเท่านั้น เอริก ชมิดต์ อดีตผู้บริหารของ Google เคยกล่าวไว้ว่า ข้อมูลเชิงสถิติคืออาวุธใหม่ คือดาบอาญาสิทธิ์แห่งศตวรรษที่ 21 มันจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น ดังนั้นเราต้องลับดาบเล่มนี้ให้คมกริบ โดยเฉพาะผู้นำยุคใหม่ต้องฝึกฝนความสามารถในการใช้ข้อมูล ยิ่งกับเรื่องการเลือกซื้อรถยนต์นั้นจำเป็นต้องพิจารณามากกว่าแค่ดีไซน์โดนใจ ราคาสมเหตุสมผล หากศึกษาเบื้องหลังการผลิตของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จะพบว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาล้วนมุ่งพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโลก
มีการศึกษาอย่างชัดเจนว่า ‘การขนส่ง’ เป็นต้นเหตุของก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก วิธีเดียวที่จะเปลี่ยนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้คือต้องเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดในระบบขนส่ง ดูเหมือนว่าค่ายรถยนต์ทั่วโลกมองเห็นเทรนด์นี้กันมานานแล้ว เห็นได้จากการเปลี่ยนผ่านการใช้รถยนต์สันดาปภายในมาใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือก เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและลดการสร้างมลพิษ
จากรถยนต์สันดาปภายในมาใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือก
อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยก็ตื่นตัวมานาน เปลี่ยนผ่านมาหลายรุ่น ตั้งแต่ Internal Combustion Engine (ICE) รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในการขับเคลื่อนเป็นหลัก และต้องเติมน้ำมันเพื่อให้พลังงาน ซึ่งระหว่างการทำงานจะมีการปล่อยไอเสียออกมาผ่านทางท่อไอเสีย ต่อมาได้มีการเพิ่มระบบไฟฟ้าเข้าไป ซึ่งอุปกรณ์หลักที่เพิ่มเข้าไปคือแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าที่รู้จักกันในนาม HEV (Hybrid Electric Vehicle) จะช่วยให้มีกำลังมากขึ้นด้วยการส่งกำลังทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ข้อดีคือประหยัดพลังงาน เพราะมีแบตเตอรี่มาช่วย
การพัฒนานำไปสู่นวัตกรรม PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟฟ้าจากภายนอกได้ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว ทำให้ได้กำลังที่ดีขึ้นกว่าเดิมและประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น นำไปสู่นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงาน 100% อย่าง BEV (Battery Electric Vehicle) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เติมพลังงานได้จากการชาร์จไฟ ตัวรถทำงานด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด เมื่อไม่มีเครื่องยนต์ก็ไม่มีไอเสีย และการใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนยังเป็นการใช้พลังงานได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานของเครื่องยนต์ที่จะมีการสูญเสียพลังงานในระหว่างการทำงาน
คาดการณ์กันว่าเทรนด์รถยนต์ในอนาคตจะกลายเป็น FCEV (Fuel Cell Electric Vehicle) หรือรถยนต์ที่สามารถเติมไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อใช้งาน คงต้องฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคนที่ชื่นชอบและหลงใหลในเทคโนโลยีที่จะเร่งเครื่องให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยได้สัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตเร็วขึ้น
รถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริดแบบปลั๊กอิน ผู้เล่นใหม่ที่จะพลิกอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคตไปตลอดกาล
เนื่องจากตอนนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกก็เครื่องร้อนเร่งสปีดกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้า การศึกษาของ MIT พบว่าภายในปี 2050 ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าและรถไฮบริดแบบปลั๊กอินจะมีเพิ่มขึ้น โดยจะมีส่วนแบ่งมากถึง 33% ของยานพาหนะทั่วโลก การมาถึงของรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ ป้องกันไม่ให้คาร์บอนไดออกไซด์เข้าถึงชั้นบรรยากาศทั่วโลกใกล้เข้ามาทุกที ดูจากตลาดหลักของยานยนต์ไฟฟ้าคือประเทศจีน รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) มียอดจำหน่ายเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมียอดรวมทั่วโลกมากกว่า 4.5 ล้านคัน สัดส่วนยอดจำหน่ายสูงถึง 55%
ในประเทศไทย เทรนด์รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดดูจะเติบโตไปในทางที่ดี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ระดับพรีเมียมอย่าง BMW, Mercedes-Benz, Volvo และ Audi ด้วยราคาเฉลี่ยที่มากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป ตัวเลือกที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้ต้องยกให้กับ NEW MG ZS EV ที่เปิดตัวในฐานะ BEV SUV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% มาพร้อมดีไซน์ที่โดดเด่น สีตัวถังที่มีความเฉพาะตัว และความเหนือชั้นของรถประเภท SUV กับอรรถประโยชน์ที่มากกว่า แต่ยังคงความหรูหราและมีสไตล์ ออกแบบมาเพื่อรองรับกับทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง
เลือกรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง ‘ผู้นำเทรนด์’
จุดเด่นที่ต้องพูดถึงคือ NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานง่ายด้วย Easy Connect ควบคุมการใช้งานผ่านระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่นอกจากผู้ใช้รถยนต์ MG จะสะดวกสบายด้วยการสั่งการ หรือ SMART Command ด้วยเสียงภาษาไทย ยังหมดกังวลขณะขับขี่ เพราะสามารถเช็กระดับพลังงานคงเหลือของแบตเตอรี่ เช็กสถานะและแสดงระยะเวลาของการชาร์จแบตเตอรี่แบบเรียลไทม์ พร้อมระบบค้นหาสถานีประจุไฟฟ้าใกล้เคียง หรือสถานีชาร์จที่โชว์รูมทั่วประเทศผ่านแอปพลิชัน i-SMART บนโทรศัพท์มือถือได้อย่างง่ายดาย
หัวใจหลักอย่าง ‘มอเตอร์ไฟฟ้า’ แบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่สามารถให้กำลังได้ 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนแบตเตอรี่ ความจุ 44.5 กิโลวัตต์ พร้อมอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม รถจึงออกตัวได้เร็วขึ้น และแม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่สามารถขับเคลื่อนด้วยโหมดการขับขี่ 3 แบบคือ Eco, Normal และ Sport เหนือชั้นด้วยระบบ Advanced Synchronized Protection System ระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรปที่ให้ความมั่นใจได้ตลอดเส้นทางการขับขี่ พร้อมถุงลมนิรภัยอีก 6 ลูก ข้อได้เปรียบของรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนคือไม่ต้องรอรอบ จึงพุ่งตัวได้ดีกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างชัดเจน
NEW MG ZS EV สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 337 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป) โดยมีค่าใช้จ่ายของพลังงานน้อยกว่า 1 บาทต่อกิโลเมตร*
นอกจากจะประหยัดพลังงานแล้วยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกด้วย เนื่องจากมีจำนวนชิ้นส่วนน้อยกว่ารถยนต์ระบบอื่นๆ ทำให้ดูแลรักษาง่าย โดยมีค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะรวม 100,000 กิโลเมตร เพียง 8,545 บาท
อย่างที่บอกไปข้างต้น ความเชื่อมโยงของผู้นำเทรนด์ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์แฟชั่น เทรนด์ธุรกิจ หรือเทรนด์ใดๆ ก็ตาม ต้องผ่านการวิเคราะห์ ตีความ และมองให้ไกลกว่าสิ่งที่เกิดรอบตัว ณ ปัจจุบัน ซึ่งหากในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปลี่ยนโลกให้สะอาดปราศจากก๊าซเรือนกระจก คงไม่มีผู้นำเทรนด์คนไหนจะนิ่งนอนใจปล่อยให้โลกรอบตัวหมุนไปโดยที่ตัวเองทำได้แค่นั่งปรบมือให้กับผู้ที่เลือกครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะดีเยี่ยม ระบบความปลอดภัยเป็นเลิศ นวัตกรรมที่ล้ำสมัย และยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แลกกับจำนวนเงินเพียง 1.19 ล้านบาทเท่านั้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
พฤติกรรมคนซื้อรถใหม่ที่นักการตลาดควรทราบ https://www.thinkwithgoogle.com/intl/th-th/consumer-insights/thai-new-car-buyer-behavior-2019/
*จากข้อมูลการศึกษาของ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยของอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานบน Eco Sticker เทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั่วประเทศ (ข้อมูลอ้างอิงจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เดือนมิถุนายน 2563)