ปตท. เร่งเจรจาหาพาร์ตเนอร์ต่างชาติ ร่วมทุน “โรงกลั่น-ปิโตรเคมี” ยันดีลจบภายในปีนี้ พร้อมเดินหน้าลงทุนพลังงานสะอาด หนุนบริษัทลูก GPSC ศึกษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR และ ปตท.สผ. ลงทุนไฮโดรเจน-CCS ลุยเพิ่ม EBITDA แตะ 3 หมื่นล้านบาท
คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ราคาหุ้น PTT ที่ปรับตัวลดลงช่วงที่ผ่านมาเกิดจากภาวะผันผวนของตลาด ประกอบกับทั่วโลกที่เผชิญทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ
ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานไทยจึงต้องดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยปีที่ผ่านมา ปตท.มุ่งเน้นปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาด
โดยจากนี้ไปปตท.จะต้องปรับตัว และกลับมาทำเรื่องที่บริษัทถนัด นั่นคือ พลังงานเพื่อความมั่นคงทาง เพื่อรองรับการเติบโต และจะลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น
“เราจะไม่เน้นลงทุนจำนวนมากในเรื่องที่ไม่ถนัดและไม่เชี่ยวชาญ และหากธุรกิจใดที่ทดลองทำไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็จะปรับ ลด โดยอาจจะทยอยตัดขายธุรกิจนั้นๆ ออกไป”
โดยล่าสุดได้ปรับพอร์ตในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ด้วยการเร่งหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทำธุรกิจในบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรในต่างประเทศหลายรายสนใจเข้ามาหารืออย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ขณะนี้ยังไม่ขอเปิดเผยว่ามีกี่ราย ทุนจากกลุ่มใด หรือเป็นบริษัทอะไรบ้าง และจะสรุปดีลได้เมื่อไหร่ เพราะบริษัทอยากทำให้รอบคอบที่สุด แต่คาดว่าในปี 2568 นี้จะเห็นความชัดเจนในการร่วมลงทุน
“การหาพาร์ตเนอร์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่วมลงทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นว่า จริงๆ เราไม่มีพาร์ตเนอร์ก็สามารถอยู่ได้ แต่อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ในระยะยาว มองว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีล้นตลาด เราจึงต้องหาพาร์ตเนอร์เพิ่ม ซึ่งจะเป็นพาร์ตเนอร์ต่างชาติ”
ปรับโครงสร้างธุรกิจตัดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออก
สำหรับแผนการลงทุน ปตท.ได้วางโครงสร้างไว้ 3 ระยะ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของ EBITDA คือ ระยะสั้น เป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ Nonhydrocarbon ตามแผน บริษัทจะปรับโครงสร้างธุรกิจนำเอาธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออก โดยในปีนี้จะยังไม่มีการสร้างธุรกิจใหม่เพิ่มเติม และยังคงตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี พร้อมวางเป้าหมายเพิ่ม EBITDA ของกลุ่มปตท.ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทได้วางแผนไปสู่ Digital Transformation เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต (Productivity Improvement) ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2569
“เราวางกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่สูงมาก แต่เน้นการสร้างผลกำไรในระดับที่คุ้มค่า ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เน้นเพิ่มประสิทธิภาพและทำกำไรจากธุรกิจเดิมเป็นหลัก”
ส่วนแผนระยะกลางในปีนี้จะปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น โดยบริษัทจะนำพาร์ตเนอร์เข้ามาดังกล่าวข้างต้น
หนุนบริษัทลูก GPSC ศึกษานิวเคลียร์ SMR – ปตท.สผ. รุกไฮโดรเจน-CCUS ส่วนแผนระยะยาว ปตท.จะเน้นการลงทุนที่ลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ผ่านการลงทุนเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage) และไฮโดรเจน
“พลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจนและ CCS เป็นเรื่องระยะยาว ต้องใช้เวลา แต่เราต้องพัฒนาลงทุน ซึ่งปตท.อยู่ระหว่างรีวิวเป้าหมาย Carbon Neutrality 2040 และ Net Zero 2050 ใหม่อีกครั้ง จะเน้นดูภาพรวมทั้งกลุ่มตามบริบทโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะภาษีคาร์บอน จึงต้องดูช่วงเวลาเหมาะสมสุด เพราะทุกกระบวนการมีต้นทุน อาจจะช้าหรือเร็วเป็นไปได้หมด”
โดยปตท.จะมุ่งพัฒนา 2 แนวทาง
- ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ผ่าน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ที่ได้ศึกษาทำแหล่งแซนด์บ็อกซ์ในแหล่งอาทิตย์ ปริมาณ 1 ล้านตัน โดยต้นทุนการทำแท้จริงยังไม่สามารถระบุได้ นอกจากนี้ต้องรอนโยบายภาครัฐกำหนดกฎกติกาและกฎหมายให้ชัดเจน เพราะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องบูรณาการร่วมกันอย่างรอบคอบ ซึ่งปัจจุบันภาครัฐมีคณะทำงาน และอีกส่วนยังมีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือ กรมโลกร้อน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อน โดยปัจจุบันตลาดสหรัฐเริ่มเห็นความคุ้มค่าของการลงทุน CCS รัฐบาลจึงอุดหนุนราคา 85 ดอลลาร์ต่อตันเพื่อเก็บคาร์บอนแล้ว
- ไฮโดรเจน เนื่องจากภาครัฐกำหนดสัดส่วนการผสมไฮโดรเจน 5% ในปี 2030 ดังนั้น เบื้องต้นจะเป็นการนำเข้าก่อน อาจเป็นตะวันออกกลาง อินเดีย เพราะต้นทุนต่ำซึ่งใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมระดับแสนตัน
“ช่วงแรกไฮโดรเจนยังแพง ต้นทุนยังแพง แต่ด้วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยี อาจจะทำให้ต้นทุนถูกลง อีก 4-5 ปี เมื่อถึงจุดต้นทุนถูก เราจะนำเข้ามา เพื่อลดคาร์บอนโดยหลักการไฮโดรเจนสามารถแทนแก๊สธรรมชาติได้ในหลายๆ โรง ตอนนี้ไทยยังผลิตไม่ได้เพราะอุปกรณ์ที่ยังไม่มีความพร้อม เทคโนโลยีเหล่านี้ต้องใช้เวลา ซึ่งยอมรับว่าท้าทายและมีความยาก แต่เราต้องพัฒนาไปในทางนี้แน่นอน” คงกระพันกล่าว
ทั้งนี้ การลงทุนทั้ง 2 เรื่อง ยังต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐโดยเฉพาะด้านกฎหมาย การกักเก็บคาร์บอน การกำหนดไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง หากปตท.ลงทุนมั่นใจจะดึงดูดการลงทุนใหม่จากเอกชนที่ต้องการพลังงานสะอาด จีดีพีขยายตัว เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพอีกด้วย
คงกระพัน กล่าวอีกว่า สำหรับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR อยู่ระหว่างศึกษาโดยได้ให้บริษัทลูก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ทำการศึกษา
“ปี 2568 ปตท. จะเน้นสร้างความมั่นคงและเติบโต โดยลดความเสี่ยงธุรกิจ สร้างเสถียรภาพทางธุรกิจ ท่ามกลางโลกที่ไม่แน่นอน ผันผวน รวมถึงธุรกิจที่มีอยู่ในช่วงขาลง ยืนยันว่าไม่ใช่ว่าปตท. จะไม่ลงทุนแต่การลงทุนจะดูความคุ้มทุนเพื่อสร้างการเติบโตที่ก้าวกระโดด” คงกระพันกล่าว
ภาพ: CHUNYIP WONG, Fahroni, Getty Images