ราคาหุ้น บมจ.พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (PROS) ซึ่งเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรกวันนี้ (27 เมษายน) เปิดการซื้อขายที่ 4 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท จากราคา IPO ที่ 2 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100% จากนั้นราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และแตะระดับราคาสูงสุดในช่วงเปิดการซื้อขายที่ 5 บาท เพิ่มขึ้น 150%
PROS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,080 ล้านบาท โดย PROS เป็นหนึ่งในผู้นำด้านงานรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร ที่ให้บริการหลากหลายและครบวงจร ทั้งงานระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร ระบบสุขาภิบาล ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบปรับอากาศ และระบบระบายอากาศ โดยมีบริษัทย่อยคือ บริษัท พรอสเพอร์ ไทธรรม์ จำกัด ดำเนินธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้างวิศวกรรมโยธา
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีฐานลูกค้ากระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ห้างสรรพสินค้า อาคารชุดพักอาศัย ศูนย์กระจายสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 กลุ่มบริษัทมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ 768 ล้านบาท และมีโครงการในอนาคตที่กลุ่มบริษัทเป็นผู้ชนะการประมูล หรือได้รับหนังสือแสดงเจตจำนงการว่าจ้างแล้วอีกจำนวน 1,230 ล้านบาท
PROS มีทุนชำระแล้ว 270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 400 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 140 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 280 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,080 ล้านบาท
ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 22.22 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2563) ซึ่งเท่ากับ 48.76 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท โดยมีบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
พงศ์เทพ รัตนแสงสรวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (PROS) กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคารรายใหญ่ของประเทศ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำงานมากว่า 24 ปี มุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง สำหรับเงินลงทุนที่ได้จะนำไปลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
แผนการเติบโตในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 2564-2566) บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-20% โดยจะมาจากงานบริการรับเหมาติดตั้งงานระบบประกอบอาคาร และรายได้จากงานให้บริการรับเหมาก่อสร้างงานโยธา คิดเป็นสัดส่วนรายได้รวมกันกว่า 99% ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้อื่นๆ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงเน้นควบคุม และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี เพื่อความสามารถในการทำกำไรที่ดี โดยมีเป้าหมายรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ให้อยู่ที่ระดับ 6-7% จากปี 2563 ที่มีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 5%
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์