คลังเล็งแก้กฎหมาย ลดเวลาติดประวัติเครดิตบูโรให้ต่ำกว่า 8 ปี หวังดึงลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบ ด้านเครดิตบูโรชี้ การแก้ไขลดระยะเวลาจาก 8 ปีสามารถทำได้ แต่ต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงสถาบันการเงินและผู้ฝากเงินด้วย
วานนี้ (29 พฤษภาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันระยะเวลาที่ลูกหนี้ NPL ติดประวัติกับเครดิตบูโรที่ 8 ปี ‘ยาวนานเกินไป’ พร้อมระบุ เตรียมพิจารณาแก้ไขกฎหมายเพื่อลดระยะเวลาติดประวัติดังกล่าวลง หวังทำให้ประชาชนกลับเข้าสู่ระบบ หรือเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินในระบบเครดิตบูโรได้เร็วและมากขึ้น
“เป็นข้อที่น่าสังเกตว่า คนหนึ่งคนติดเครดิตบูโร 5 ปี + 3 ปี รวมเป็น 8 ปี นานเกินไป น่าจะต้องมีการพิจารณาดูว่าจะลดระยะเวลาได้อย่างไร เช่น 3 ปี + 3 ปี หรือ 2 ปี + 3 ปี จะทำได้ไหม” พิชัยกล่าว
ข้อมูลเครดิต ‘ลูกหนี้ NPL’ ถูกเก็บนานแค่ไหน? อย่างไร?
ทั้งนี้ ปัจจุบันสำหรับกรณีลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้เกิน 90 วัน (เป็นหนี้เสียหรือ NPL) สถาบันการเงินจะต้องนำส่งข้อมูลของลูกหนี้ให้กับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หรือจนกว่าจะมีการชำระเป็นปกติ หรือมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (TDR)
โดยเครดิตบูโรจะต้องเก็บข้อมูลเครดิตที่ได้รับจากสถาบันการเงินไว้ในฐานข้อมูลต่อไปอีกเป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับจากวันที่เครดิตบูโรได้รับข้อมูลมาจากสถาบันเงิน
ดังนั้น ตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน ข้อมูลของลูกหนี้ที่ค้างชำระจะปรากฏในฐานข้อมูลของเครดิตบูโรรวมทั้งสิ้น 8 ปี จากนั้นประวัติที่เป็นหนี้เสียของลูกหนี้ดังกล่าวจะถูกลบออกจากฐานข้อมูลของเครดิตบูโร
หมายความว่าหลังจากปีที่ 8 ลูกหนี้ก็น่าจะสามารถเข้าถึงระบบการเงินได้บ้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ และความน่าเชื่อถือในเวลานั้น
แก้กฎหมายทำได้หรือไม่? อย่างไร?
สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) อธิบายผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า การแก้ไขลดระยะเวลาจาก 8 ปีสามารถทำได้ โดยการออกประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต (ประกาศ กคค.)
ซึ่งไม่ต้องแก้กฎหมายใด แค่ออกประกาศใหม่ทับประกาศเก่าเท่านั้น และขึ้นอยู่ที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต (กคค.)
สำหรับคณะกรรมการฯ ดังกล่าวมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน มีผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเลขานุการ ในส่วนของคณะกรรมการบริษัทของเครดิตบูโร และผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร ไม่มีอำนาจใดในเรื่องดังกล่าว แต่พร้อมให้ข้อมูลและรับคำสั่งมาปฏิบัติ
เปิดข้อดี-ข้อเสีย หากลดเวลาติดประวัติเครดิตบูโร
อย่างไรก็ดี สุรพลเตือนว่า การแก้ประกาศดังกล่าวต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ‘การเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลับเข้ามาในระบบ’ และ ‘ความเสี่ยงของสถาบันการเงินและผู้ฝากเงิน’ โดยระบุว่า “ต้องชั่งน้ำหนักว่าความเสี่ยงและการแลกเปลี่ยนหรือเป้าหมายที่จะให้ลูกหนี้เจ้าของบัญชีหนี้เสียที่ไม่จ่าย ไม่ทำ TDR นั้นสามารถยื่นขอกู้ได้ โดยว่าที่เจ้าหนี้ใหม่ไม่เห็นข้อมูลเมื่อใด ความเสี่ยงของสถาบันการเงินและผู้ฝากเงินรับได้ตรงไหน มาตรฐานสากลเป็นอย่างไร หากมีข้อมูลครบก็ตัดสินใจได้ครับ เครดิตบูโรไม่มีอำนาจตัดสินใจ เรามีหน้าที่ดำเนินการตามประกาศคำสั่งอย่างเดียวเลย”
เครดิตบูโรยังห่วงลูกหนี้ NPL จากโควิด (รหัส 21)
นอกจากนี้ สุรพลยังกล่าวว่า มีประเด็นที่น่าคิดคือในช่วงปี 2563-2565 ที่เกิดเหตุโควิดระบาด ส่งผลทำให้เกิด Income Shock มีการสั่งห้ามการพบหน้ากัน (Lockdown) เหตุปัจจัยนี้จะไปบอกว่าเป็นความผิดของลูกหนี้ที่ค้าขาย ทำงาน ทำอาชีพอิสระ ตั้งใจจะเบี้ยวหนี้จนเป็นหนี้เสียเลยทั้งหมดก็คงไม่ได้
ดังนั้นในระบบการเงินไทยเราจึงมีลูกหนี้จำนวนหนึ่งที่มีบัญชีหนี้เสียเพราะโควิด ที่เรียกว่าบัญชีหนี้เสียรหัส 21 หรือบัญชี NPLs code 21 ตรงนี้ทุกรัฐบาลก็พยายามหาหนทางในการแก้ไข
วิธีการในการแก้ไขหลักๆ คือการปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาหรือการทำ TDR เพื่อให้บัญชีหนี้เสียกลายมาเป็นบัญชีหนี้ปรับโครงสร้างฯ และกลายเป็นบัญชีหนี้ปกติในที่สุดครับ
แนวทางต่างๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการกำหนดไว้ รวมทั้งมีความพยายามสื่อสารให้ลูกหนี้ เจ้าหนี้ มาตกลงกันในจุดที่พอจะไปกันได้ จูงมือกันเดินต่อไป ผลก็เป็นอย่างที่มีการแถลงตัวเลขกัน
การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประสบภัยจากโควิดจนกลายเป็นหนี้เสีย ชำระหนี้ไม่ได้ เป็นนโยบายมาทุกรัฐบาล และทุกรัฐบาลต้องการให้ลูกหนี้ที่มีบัญชีหนี้เสียนี้กลับเข้าสู่ระบบกู้เงินได้อีกครั้ง แต่จะใช้วิธีการอย่างใดจึงจะสมดุลทั้ง
- ความเป็นธรรมของผู้เป็นหนี้เสียที่ทุกข์ทรมานจากผลกระทบของโควิดจนไปต่อได้ยาก
- หลักกฎหมาย เป็นหนี้ต้องใช้หนี้ สัญญาต้องเป็นสัญญา
- ความเสี่ยงและความมั่นคงของระบบการเงิน ว่าหนี้เสียจะเพิ่ม จะลด คนเข้าถึงสินเชื่อเพิ่มหรือลดลง
- ความเสี่ยงของผู้ฝากเงินที่จะถูกนำไปปล่อยกู้ต่อว่าเขาเหล่านั้นคิดอย่างไร
- ความรู้สึกของลูกหนี้ดีที่ชำระหนี้ตามปกติมาโดยตลอด เขาจะคิดอย่างไร
- เป้าหมายทางนโยบายที่ต้องการผลสำเร็จที่ตอบโจทย์กับปัญหาทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน