×

รวมเสียงเอกชน หวังเร่งเดินหน้าเลือกตั้งตามกรอบเวลา ไร้ระบบโควตา หวั่นหากตั้งช้าอาจซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ

12.12.2025
  • LOADING...
รวมเสียงเอกชน หวังเร่งเดินหน้าเลือกตั้งตามกรอบเวลา ไร้ระบบโควตา หวั่นหากตั้งช้าอาจซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ

ภายหลังจากคืนวานนี้ (11 ธันวาคม) ที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภา เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ ส่งผลให้เริ่มสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองและเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ไปติดตามความเห็นของภาคเอกชนที่ THE STANDARD WEALTH รวบรวมมาที่สะท้อนถึงสถานการณ์ดังกล่าว

 

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ถึงมุมมองของภาคเอกชนต่อสถานการณ์ดังกล่าว ไม่มีความกังวลต่อการประกาศยุบสภาในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่นายกรัฐมนตรีเคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีการยุบสภาก่อนวันที่ 31 มกราคมปีหน้า เพียงแต่เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดการเดิมประมาณ 1 เดือนเศษ ซึ่งภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติมองเห็นภาพล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องมีการยุบสภาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว

 

สำหรับสาเหตุที่การยุบสภาเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนด จรีพรมองว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการเมืองในสภา โดยระบุว่านายกรัฐมนตรีทำตามคำพูดที่เคยประกาศไว้ว่า หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะตัดสินใจยุบสภาทันที ซึ่งเมื่อฝ่ายค้านตัดสินใจยื่นญัตติ ท่านจึงดำเนินการตามที่พูดไว้

 

ชี้งบประมาณไม่สะดุด มองการเลือกตั้งเป็น ‘บวก’

 

ต่อข้อกังวลของนักเศรษฐศาสตร์เรื่องสุญญากาศทางการเมืองที่อาจกระทบต่อการจัดทำงบประมาณปี 2570 หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น จรีพรมองว่าไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายปกติได้ผ่านการพิจารณาไปแล้ว กิจกรรมทั่วไปยังคงดำเนินต่อไปได้ อาจมีเพียงโครงการริเริ่มใหม่ๆ เท่านั้นที่อาจต้องชะลอออกไปบ้าง

 

ในทางกลับกัน จรีพรมองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นภาพบวก เพราะจะทำให้ประเทศไทยได้รัฐบาลที่มีวาระอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ แทนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีสถานะคล้ายรัฐบาลชั่วคราวที่มีระยะเวลาเพียง 3-4 เดือน

 

โจทย์ใหญ่ถึงรัฐบาลหน้า ขอให้ ‘อยู่ยาว’ เดินหน้านโยบายต่อเนื่อง-‘เลิกระบบโควตา’

 

ประเด็นสำคัญที่สุดที่แม่ทัพ WHA ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่คือเรื่อง ‘ความต่อเนื่อง’
โดยจรีพรย้ำว่า ประเทศไทยมีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขจำนวนมาก และถึงจุดที่ประเทศต้องเดินหน้าต่อ ดังนั้นสิ่งที่ภาคเอกชนอยากเห็นคือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ สามารถอยู่บริหารงานได้ครบวาระ 4 ปี ไม่ใช่รัฐบาลระยะสั้น

 

รวมเสียงเอกชน หวังเร่งเดินหน้าเลือกตั้งตามกรอบเวลา ไร้ระบบโควตา หวั่นหากตั้งช้าอาจซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ 1

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

 

นอกจากนี้ จรีพรยังได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ โดยระบุว่า

 

“ขอคนเก่งๆ แล้วกัน อย่ามาวางโควต้าเลย ขอได้บุคคลที่มีความสามารถจริงๆ เหมาะกับตำแหน่งนั้นๆ มานั่งตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือไม่ใช่การเมืองก็ตาม ขอให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะมานั่งเป็นเจ้ากระทรวง” จรีพรกล่าว

 

จรีพรทิ้งท้ายด้วยการให้กำลังใจประเทศไทย โดยมองว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศจะต้องไปต่อ และหวังว่าจะได้เห็นการเลือกตั้งที่รวดเร็วเพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารงานอย่างต่อเนื่อง

 

หอการค้าไทย เข้าใจความจำเป็น ‘ยุบสภา’ เร่งขอรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็ม

 

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีการยุบสภาเมื่อวันที่ผ่านมา ว่า หอการค้าไทยเข้าใจถึงความจำเป็นทางการเมืองในการตัดสินใจของท่านนายกรัฐมนตรีในการยุบสภาในครั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่มีความผันผวนสูง

 

รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนและปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลก ซึ่งล้วนส่งผลต่อเสถียรภาพและการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของกรอบประชาธิปไตยและกฎหมายรัฐธรรมนูญ

 

ทั้งนี้ หอการค้าไทยขอเรียกร้องให้มีการเร่งดำเนินการจัดการเลือกตั้งตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ประเทศมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็มโดยเร็ว เนื่องจากในปัจจุบันยังมีกฎหมายสำคัญและกรอบการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่รอการพิจารณาและผ่านสภา และต้องมีขับเคลื่อนอีกหลายประเด็น อาทิ การเจรจาด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกา การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า เช่น FTA Thai-EU ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

รวมเสียงเอกชน หวังเร่งเดินหน้าเลือกตั้งตามกรอบเวลา ไร้ระบบโควตา หวั่นหากตั้งช้าอาจซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ 2

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 

ในระหว่างช่วงรัฐบาลรักษาการ หอการค้าไทยเห็นว่า รัฐบาลรักษาการณ์ยังคงมีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่มติคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบปัญหา รวมถึงการดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งสามารถและควรดำเนินการต่อเนื่องโดยไม่ให้เกิดความสะดุด โดยให้ระวังเรื่องข้อจำกัดของรัฐบาลรักษาการณ์ตามระเบียบ

 

หอการค้าไทย รวมถึง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เชื่อมั่นว่าทั้ง รัฐบาลรักษาการ ข้าราชการ และภาคเอกชน จะสามารถร่วมกันทำงานต่อเนื่องเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แม้จะมีข้อจำกัดบางประการก็ตาม

 

ท้ายที่สุด หอการค้าไทยไม่ต้องการให้การยุบสภาในครั้งนี้ส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก และขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ

 

ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย เสี่ยงฉุดค้าปลีกครึ่งปีแรก 69 อ่อนแรง

 

มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จังหวัดอุดรธานี ให้ความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ถึงทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองในระยะถัดไป โดยชี้ว่า หากความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาลสะดุดลงอีกครั้ง อาจยิ่งกดทับบรรยากาศธุรกิจค้าปลีกรายย่อยในช่วงครึ่งปีหน้า

 

พร้อมอธิบายว่า ผลของโครงการคนละครึ่งพลัสในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีทั้ง คนละครึ่ง และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบว่า มาตรการเฟสแรกช่วยดันยอดขายค้าปลีกรายย่อยให้เติบโต 12–20% ถือเป็นแรงส่งสำคัญที่ช่วยให้ตลาดกลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมตัวเลขยอดขายเริ่มชะลอ โดยประเมินว่าอัตราการเติบโตระหว่างวันที่ 1–20 ธันวาคม (ไม่รวมเทศกาลปีใหม่) จะเหลือเพียง 7–8% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการกระตุ้นให้ผลเพียงระยะสั้น และไม่อาจสร้างความยั่งยืนได้หากขาดความต่อเนื่อง โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ว่า เหมือนคนป่วยที่ได้ยา ทำให้ดีขึ้นชั่วคราว แต่ยังไม่แข็งแรงได้จริง

 

อีกทั้งหลังการยุบสภา หากโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ไม่สามารถเดินหน้าต่อ คาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีแรก 2569 จะยังคงอ่อนแรงในระดับใกล้เคียงเดิม แม้ไม่น่าจะทรุดหนักเท่าช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดที่ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบหนักแล้วก็ตาม

 

รวมเสียงเอกชน หวังเร่งเดินหน้าเลือกตั้งตามกรอบเวลา ไร้ระบบโควตา หวั่นหากตั้งช้าอาจซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ 3

มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จังหวัดอุดรธานี

 

แม้ผู้ประกอบการค้าปลีกและผู้บริโภคจำนวนมากคาดหวังให้โครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 ช่วยพยุงกำลังซื้อ แต่ในมุมมองส่วนตัวมองว่า มาตรการลักษณะนี้เป็นเพียง ‘พ่อแม่หาปลามาให้ลูกกิน’ มากกว่าจะสร้างศักยภาพระยะยาว ซึ่งรัฐบาลที่เข้มแข็งควรสร้างแหล่งน้ำ วางพื้นฐานให้ธุรกิจเติบโตได้ด้วยตนเอง มากกว่าหวังพึ่งเงินอุดหนุนเป็นหลัก

 

ด้านการเมืองยังเป็นอีกปัจจัยถ่วง โดยหลังยุบสภา แม้กำหนดเลือกตั้งจะอยู่ในกรอบ 60 วัน แต่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจลากยาวถึงเดือนมิถุนายน ทำให้ประเทศต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลรักษาการราวครึ่งปี อาจส่งผลให้การตัดสินใจด้านเศรษฐกิจหลายเรื่องชะงักไป

 

นอกจากนี้ยังประเมินว่า GDP ปีนี้มีแนวโน้มลดลงเพิ่มเติม เพราะโอกาสที่ตัวเลขเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะชดเชยความอ่อนแอในครึ่งปีแรกแทบเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่การเลือกตั้งอาจเลื่อนจากประเด็นทางกฎหมาย ยิ่งซ้ำเติมความไม่แน่นอนและยืดช่วงวิกฤตเศรษฐกิจออกไปอีก

 

และหลังการประกาศยุบสภา จึงเห็นภาพชัดเจนว่า ช่วงธันวาคมปีนี้ถึงมิถุนายน 2569 เศรษฐกิจจะเข้าสู่รอยต่อ ที่ทุกภาคส่วนต้องกลับเข้าสู่โหมดเดียวกัน คือระมัดระวังการใช้จ่าย และบริหารกระแสเงินสดอย่างเข้มงวด

 

มิลินทร์ ทิ้งท้ายด้วยหลักคิด ‘อัตตาหิ อัตตโน นาโถ – ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ ซึ่งสะท้อนความจริงว่าทั้งธุรกิจและประชาชนยังต้องเดินหน้าต่อไป แม้ไม่อาจพึ่งพาการดำเนินงานของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

 

นักวิเคราะห์ชี้ ‘ยุบสภา’ ฉุดเอกชนชะลอลงทุน

 

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์รายหนึ่งฉายมุมมองกับ THE STANDARD WEALTH ว่า การยุบสภาในครั้งนี้ทำให้ภาคเอกชนเกิดความไม่มั่นใจที่จะลงทุน เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลใหม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรและจะมีทิศทางนโยบายที่ชัดเจนแค่ไหน ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเกิดภาวะชะลอตัว เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะหยุดรอดูสถานการณ์เพื่อให้แน่ใจก่อน

 

ประเด็นที่น่ากังวลในช่วงรอยต่อระยะสั้น 1-2 เดือนนี้ คือเรื่องความเชื่อมั่น หากความเชื่อมั่นไม่ฟื้นตัว เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจจะหมุนเวียนช้าลง เงินฝากจะถูกแช่แข็งอยู่ในระบบธนาคารโดยไม่มีการนำออกมาปล่อยสินเชื่อหรือลงทุน ซึ่งหากปล่อยให้ทุกคนต่างคนต่างรอดูท่าทีเช่นนี้ต่อไป เศรษฐกิจภาพรวมก็จะค่อย ๆ ซึมตัวลง

 

เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวในช่วงที่ภาคเอกชนยังไม่กล้าขยับตัว ภาครัฐจึงควรเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการเร่งลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนกล้าเข้ามาลงทุนตาม เมื่อเกิดการจ้างงานและการใช้จ่าย การหมุนเวียนของเงินในระบบก็จะเกิดขึ้น

 

นอกจากนี้ หากพิจารณาเรื่องต้นทุนทางการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่สูง หากมีการปรับลดดอกเบี้ยลงก็จะช่วยเอื้อให้ภาคธุรกิจตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น

 

ด้านระดับเศรษฐกิจฐานรากนั้น การมีโครงการคนละครึ่งพลัสส่งผลกำลังซื้อของประชาชนรายย่อยอยู่บ้าง รวมถึงในมุมมองของสถาบันการเงินที่เคยได้รับอานิสงส์จากการที่ลูกหนี้มีสภาพคล่องนำมาชำระหนี้ได้ดีขึ้นในช่วงที่มีโครงการ แต่ไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อ GDP ขณะที่โครงการกระตุ้นกำลังซื้อชนชั้นกลางอย่าง Easy E-Receipt นั้นก็ไม่น่าจะได้เห็นในช่วงนี้

 

ทางด้านภาคการส่งออกและความกังวลเรื่องกำแพงภาษีการค้านั้น จากการประเมินพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้มีการเตรียมความพร้อมและเจรจาปรับโครงสร้างธุรกิจกับคู่ค้าในต่างประเทศไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่ได้ส่งผลกระทบที่น่ากังวลมากนัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเป็นความท้าทายและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือรายละเอียดข้อกำหนดเรื่องภาษี Transshipment ว่าทางประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐอเมริกาจะมีเงื่อนไขที่ชัดเจนออกมาอย่างไร ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจยังคงต้องรอคำตอบ

 

ท้ายที่สุด สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการมากที่สุดคือความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ขอเพียงให้มีเสถียรภาพ สามารถจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่แตกแยก และบริหารงานได้ครบวาระ 4 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของนโยบาย การจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่ตรงจุด หากทำได้เช่นนี้ ภาคเอกชนก็จะมีความมั่นใจและกล้านำเงินออกมาลงทุน

 

ค้าปลีกหวั่นสุญญากาศการเมืองฉุด ‘กำลังซื้อ’ ช่วงไฮซีซัน

 

แหล่งข่าวระดับสูงจากภาคธุรกิจค้าปลีก เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันจากการยุบสภา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเป็นใครและทิศทางนโยบายจะเปลี่ยนไปในรูปแบบใด

 

จุดนี้เองสร้างความอ่อนไหวต่อบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุน ทำให้ภาคธุรกิจไม่กล้าขยับขยายการลงทุนเพิ่มเติม ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเองก็เลือกที่จะชะลอการตัดสินใจ ซึ่งความกังวลนี้อาจลุกลามไปสู่ปัญหาการเลิกจ้างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่สายป่านไม่ยาวพอ

 

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือช่วงเวลาของการประกาศยุบสภาที่เกิดขึ้นในเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งถือเป็นไฮซีซั่นที่สุดของปี เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง การท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ภาคธุรกิจตั้งตัวไม่ติด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการติดต่อค้าขายหรือมีโครงการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ทุกอย่างต้องถูกระงับและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เนื่องจากคู่เจรจาเดิมอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้แผนงานต่าง ๆ ที่วางไว้ต้องสะดุดลงทันที

 

ความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองจากการที่รัฐบาลชุดนี้บริหารงานได้เพียงระยะสั้น ๆ ทำให้เกิดภาวะสุญญากาศที่ส่งผลกระทบในระยะยาว การจัดตั้งรัฐบาลใหม่และการแถลงนโยบายอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง ทำให้ภาคเอกชนประเมินว่าปีหน้าอาจเป็น ‘ปีที่ยาก’ ลำบากสำหรับทุกอุตสาหกรรม

 

โดยเฉพาะภาคค้าปลีกที่ต้องปรับตัวด้วยความระมัดระวัง ไม่สามารถทุ่มงบประมาณได้เต็มที่เพราะยังขาดความชัดเจนในมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดหย่อนภาษีในช่วงต้นปีที่เคยมีมา ก็มีแนวโน้มสูงที่จะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากติดขัดในข้อกฎหมายและอำนาจการอนุมัติ

 

ในมุมมองของภาคค้าปลีก สิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ควรเร่งดำเนินการทันทีที่เข้ามาบริหารคือ การเร่งฟื้นฟูกำลังซื้อภายในประเทศและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติให้กลับคืนมา เพราะที่ผ่านมาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เคยประกาศเริ่มเงียบหายไป

 

“หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะยิ่งกดดันให้ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในปีนี้ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ทรงตัว หรือมีความเสี่ยงที่จะเติบโตติดลบได้ในปีหน้า” แหล่งข่าวระดับสูงจากภาคธุรกิจค้าปลีก ระบุ

 

‘เคทีซี’ หวังไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง

 

พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตอบคำถามสื่อกรณีรัฐบาลอนุทิน ชาญวีระกุล ประกาศสยุบสภาว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือนโยบายพรรคการเมืองมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งเคทีซีหวังว่าจะไม่เกิดสภาวะสุญญากาศ หรือหากเกิดก็ขอให้ไม่ยืดเยื้อ โดยหวังให้มีการเร่งจัดการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กินเวลาครึ่งปีจนกระทบเศรษฐกิจ

 

แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องความไม่แน่นอน แต่เคทีซีมองว่าเป็นสิ่งที่เจออยู่แล้วในการดำเนินธุรกิจ ทางบริษัทจึงเตรียมพร้อมรับมือ โดยไม่ได้นำปัจจัยเรื่องการเมืองมาเป็นเหตุผลในการทบทวนเป้าหมายให้ต่ำลง แต่ยังคงยึดเป้าหมายที่เข้มข้นไว้เช่นเดิม โดยมองหาโอกาสในกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบแทน

 

รวมเสียงเอกชน หวังเร่งเดินหน้าเลือกตั้งตามกรอบเวลา ไร้ระบบโควตา หวั่นหากตั้งช้าอาจซ้ำเติม วิกฤตเศรษฐกิจ 4

พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‘เคทีซี’

 

เธอกล่าวเพิ่มว่า นโยบายความร่วมมือกับภาครัฐ ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไร จุดยืนของเคทีซีคือการเป็นผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับมาตรการต่างๆ ที่ออกมาจากภาครัฐหรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น การช่วยเหลือลูกหนี้ หรือมาตรการบรรเทาทุกข์ต่างๆ, โดยเน้นกลยุทธ์เรื่อง ‘ความยืดหยุ่น’ (Flexibility) และความรวดเร็วในการปรับปรุงระบบให้สอดรับกับนโยบายที่ออกมา เพื่อตอบโจทย์ให้ทันท่วงที

 

เมื่อถามว่าอยากได้รัฐบาลแบบใด พิทยากล่าวว่า “ก็อยากจะเห็นรัฐบาลที่เข้าใจปัญหาของเรา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกมานาน แล้วก็เป็นรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ แล้วก็มีแผนงานที่ชัดเจน แล้วทำให้แผนงานเหล่านั้นเนี่ยเกิดขึ้นได้”

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising