สำรวจราคายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชน ทำไมถึงราคาแพงกว่าท้องตลาด และมาตรการล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์จะช่วยเหลือประชาชนอย่างไรบ้าง
ประเด็นเรื่องค่ายาที่สูงเกินจริงโดยเฉพาะจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์และได้รับการเรียกร้องให้ควบคุมราคามาโดยตลอด แต่ล่าสุดดูเหมือนประชาชนจะมีความหวังขึ้นมา ภายหลังจากที่ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศจะคุมราคายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชน
ก่อนหน้านี้สภาองค์กรของผู้บริโภคเคยเสนอกระทรวงพาณิชย์ให้ควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาล และเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลเอกชน เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริงจากโรงพยาบาลเอกชนในช่วงปี 2565-2568 จำนวน 40 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 25 ล้านบาท
ตัวอย่างราคาเวชภัณฑ์ที่สูงเกินจริง โดยเปรียบเทียบราคาท้องตลาดและราคาในโรงพยาบาลเอกชน เช่น
● สำลีก้อน : ราคาท้องตลาด 0.10 บาทต่อก้อน กลับเพิ่มราคาเป็นก้อนละ 7 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 6,900%
● น้ำเกลือ 1,000 มิลลิลิตร : ราคาท้องตลาดเพียง 45 บาท ถูกคิดในราคา 919 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 1,900%
● พลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 เซนติเมตร : ราคาทั่วไปแผ่นละ 25 บาท แต่กลับถูกเรียกเก็บถึง 224 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 700%
● ถุงมือยางทางการแพทย์ : จากราคาท้องตลาด 2.5 บาทต่อชิ้น เพิ่มเป็น 17 บาท ส่วนต่างคิดเป็น 580%
นอกจากนี้ข้อมูลจากระบบค้นหาและเปรียบเทียบราคายา และค่าบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน กรมการค้าภายในยังพบว่า ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ชื่อการค้า CEEMOL 325 MG ในโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานครขายเม็ดละ 7-8 บาท ในขณะที่ท้องตลาดขายกันอยู่ที่เม็ดละประมาณ 1 บาท
ซึ่งกรณีเหล่านี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านราคาค่ารักษาและเวชภัณฑ์ที่ไม่มีเพดานควบคุมและขาดความโปร่งใส ท้ายที่สุดผู้รับชะตากรรมคือผู้ป่วยที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงที่แพงเกินจริงมาโดยตลอด
🔺 ทำไมราคาราคายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชนแพง? 🔺
ชมรมเภสัชชนบทชี้ว่า ปัญหาคือราคายาพุ่งสูงขึ้น 35.2% คำถามคือทำไมปัญหาเรื่องราคายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชนแพงถึงไม่สามารถแก้ได้เสียที โดยชมรมเภสัชชนบทชำแหละปัญหาออกมาได้ 4 ข้อด้วยกัน หนึ่งคือลักษณะโครงสร้างต้นทุน
โดยองค์ประกอบของราคายา 1 เม็ด ประกอบด้วย
● ต้นทุนเนื้อยาล้วน ๆ 0-5%
● ต้นทุนการบริหารยา 10-15% อย่างเช่น การจัดซื้อ การจัดเก็บ การรักษา เป็นต้น
● ต้นทุนโรงพยายาล 20-30%
● กำไร 20-40% และกำไรบางครั้งอาจสูงมากกว่า 1,000% ขึ้นอยู่แบรนด์และยาชนิดนั้น ๆ
ด้าน นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยกับทีมข่าว THE STANDARD ว่า ยาที่มีต้นทุนแพงคือยาที่ออกใหม่ เนื่องจากมีต้นทุนในการทำวิจัย ยาเหล่านี้มีต้นทุนสูงและมีลิขสิทธิ์อยู่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อยาหมดลิขสิทธิ์ ยาอื่นสามารถเลียนแบบได้ เมื่อนั้นราคายาก็จะถูกลงและเกิดการแข่งขันในตลาดทันที
ประเด็นราคายาและเวชภัณฑ์โรงพยาบาลเอกชนแพง นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เคยชี้แจงประเด็นนี้เอาไว้ว่า สมาคมฯ เคยทำวิจัยต้นทุนยาของโรงพยาบาลนอกเหนือจากส่วนที่เป็นค่าตัวยา มีค่าเฉลี่ยต้นทุนยาแต่ละเม็ด มากกว่า 1 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล บางแห่งอาจจะ 2-3 บาทต่อเม็ด ส่วนทำไมราคาในแต่ละโรงพยาบาลเอกชนถึงต่างกันนั้นก็ขึ้นอยู่ขนาดโรงพยาบาล
ส่วนกรณีเวชภัณฑ์ นพ.ไพบูลย์ชี้ว่า เนื่องจากทุกอย่างที่ใช้ทางการแพทย์ต้องมีการควบคุม มีวันหมดอายุ ส่วนใหญ่อายุที่กำหนดจะไม่เกิน 2 ปี และเมื่อใกล้หมดอายุ 6 เดือนต้องนำไปเปลี่ยน โรงพยาบาลจะไม่ยอมให้หมดอายุ
และที่สำคัญที่เป็นต้นเหตุของราคายาที่แพงมาจากบริษัทผู้ผลิตที่ขายยาให้โรงพยาบาลรัฐในราคาต่ำกว่าเอกชนมากถึง 50% เพราะภาครัฐมีอำนาจต่อรองและสั่งซื้อในปริมาณมาก
🔺 ระบบการตลาดผูกขาด 🔺
ปัญหาที่ 2 คือใบสั่งยาที่ถูกผูกขาดไว้ที่โรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยไม่มีทางเลือก ไร้อำนาจต่อรอง
ปัญหาที่ 3 คือข้อมูลราคายาเข้าถึงยาก ประชาชนทั่วไปยังไม่รู้ว่ามีระบบนี้อยู่ และไม่คุ้นเคยกับชื่อยาทางการแพทย์ ไม่สามารถใช้ข้อมูลไปเจรจากับโรงพยาบาลได้ อีกทั้งข้อมูลยังไม่เรียลไทม์และไม่อัปเดตบ่อยครั้ง
และปัญหาสุดท้ายคือขาดกลไกบังคับใช้ โรงพยาบาลเอกชนไม่ถูกบังคับให้ขายตามราคาที่แจ้งไว้ เพียงรายงานให้ทราบเท่านั้น หากประชาชนเจอราคาจริงไม่ตรงกับระบบ ก็ร้องเรียนได้ยากและไม่มีโทษที่ชัดเจน
🔺 ควบคุมราคาอย่างไร? 🔺
ทั้งนี้สำหรับมาตรการล่าสุดจากกระทรวงพาณิชย์ที่มีแผนดำเนินการราคายา MOU กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน
จากปัจจุบันนี้มีโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในสมาคมฯ ทั้งหมด 330 แห่ง แบ่งออกเป็น 11 เครือ ตอนนี้ได้มีการตกลงร่วมโครงการแล้ว 5 เครือ ประมาณ 110 แห่ง อาทิ วิภาราม เกษมราษฎร์ ธนบุรี บางปะกอก ดุสิตเวชการ เป็นต้น
โดยแนวทางที่กระทรวงพาริชย์จะทำคือหนึ่งให้โรงพยาบาลเอกชนมีการเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจน โดยผู้ป่วยสามารถทราบราคายาที่ต้องจ่ายล่วงหน้า และมีสิทธิ์เลือกไปซื้อจากร้านขายยาภายนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยมีการประเมินร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขว่า มาตรการนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 32,400 ล้านบาทต่อปี
สองคือการควบคุมต้นทุน ราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและป้องกันการตั้งราคาที่เกินความเหมาะสม โดยคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนในหมวดเวชภัณฑ์ได้ถึง 1,100 ล้านบาทต่อปี เช่น สินค้าเวชภัณฑ์จำเป็น ยังคงมีคุมควบต้นทุนสินค้า อาทิ ถุงมือยาง สำลี ATK เป็นต้น
นพ.วีระพันธ์ มองว่า มาตรการนี้จะทำให้ประชาชนได้ยาในราคาที่เหมาะสมขึ้นหรืออย่างน้อยประชาชนก็ได้มีทางเลือกในการนำใบสั่งยาของแพทย์ไปซื้อยาจากร้านขายยานอกโรงพยาบาลได้ นพ.วีระพันธ์ เชื่อว่า นี่เป็นข้อดีที่เกิดขึ้นกับประชาชนโดยทั่วไปเหมือนกับการได้ส่วนลดราคาทันที
ในขณะที่มุมมองของโรงพยาบาลเอกชนอาจเผชิญกับกำไรที่ลดลง เพราะหากเคยคิดราคายาและได้กำไรประมาณ 50% ถึง 100% ก็อาจจะต้องลดเพดานลง พวกเขาจะต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคา ทั้งระหว่างเอกชนด้วยกันเองและแข่งขันกับราคายาที่อยู่นอกโรงพยาบาล
นอกจากนี้ นพ.วีระพันธ์ เชื่อว่า เงินเฟ้อจากการรักษาพยาบาลจะลดลงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีส่วนอื่นๆ ที่ยังต้องดำเนินการต่อไป เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนยังมีแหล่งกำไรอื่น ๆ เช่น ค่า DF ของแพทย์ที่อัตราของแต่ละโรงพยาบาลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนไข้ เช่น ถ้าแพทย์มีชื่อเสียงอาจมีค่าบริการที่แพงขึ้นตามไปด้วย
ส่วนที่อาจทำให้เงินเฟ้อในการรักษาสูงที่สุด คือ ค่าบริการมากกว่า เช่น ค่าห้อง เป็นต้น อย่างไรก็ตามมาตรการนี้คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคมนี้