×

เมื่อเจ้าชายกลายเป็นสามัญชน : การถอดยศเจ้าชายแอนดรูว์เพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์อังกฤษ

08.11.2025
  • LOADING...
เมื่อเจ้าชายกลายเป็นสามัญชน : การถอดยศเจ้าชายแอนดรูว์เพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์อังกฤษ

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักพระราชวังอังกฤษได้ออกแถลงการณ์สำคัญเกี่ยวกับเจ้าชายแอนดรูว์ พระราชอนุชาในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ผู้ทรงมีเรื่องอื้อฉาวมานานกว่าสิบปี ซึ่งมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าชายแอนดรูว์จะถูกถอดยศ สถานะ และเกียรติยศต่าง ๆ ที่เคยได้รับในฐานะเจ้าชายและดยุกแห่งยอร์ค โดยจะเป็นเพียง นายแอนดรูว์ เมานต์แบตเทน วินด์เซอร์ (Mr. Andrew Mountbatten Windsor) และต้องย้ายออกจากที่พักในบริเวณปราสาทวินด์เซอร์ไปอาศัยอยู่ที่อื่นแทนด้วย 

 

แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวเท่ากับเป็นการถอดยศและปลดตำแหน่งของแอนดรูว์จากเจ้าชายให้กลายเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา โดยไม่มีสิทธิในฐานะพระราชวงศ์อีกต่อไป อันเป็นกรณีที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในราชวงศ์อังกฤษสมัยใหม่ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพื่อลดข้อครหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันกษัตริย์อังกฤษจากเรื่องอื้อฉาวอันยาวนานของแอนดรูว์ แม้ว่าเขาจะยังคงปฏิเสธว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวก็ตาม 

 

เรื่องราวอื้อฉาวของเจ้าชายแอนดรูว์

 

เจ้าชายแอนดรูว์ เป็นพระราชโอรสองค์รองในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 กับเจ้าชายฟิลลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ และเป็นพระราชอนุชาในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งอังกฤษ ได้รับการสถาปนาเป็นดยุกแห่งยอร์ก ตำแหน่งตามธรรมเนียมประเพณีสำหรับพระราชโอรสองค์รองเมื่อปี 1986 จึงถือเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในราชวงศ์วินด์เซอร์ ปัจจุบันมีอายุ 65 ปีและอยู่ในลำดับที่ 8 ของการสืบราชสมบัติ 

 

เจ้าชายแอนดรูว์สมรสกับ ซาราห์ เฟอร์กูสัน ซึ่งได้รับสถาปนาเป็นดัชเชสแห่งยอร์คในปี 1986 ก่อนที่จะหย่าร้างกันในปี 1996 และมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ เจ้าหญิงเบียทริซ และเจ้าหญิงยูเชนี โดยเจ้าชายเคยรับราชการในกองทัพเรือก่อนที่จะรับตำแหน่งเป็นผู้แทนทางการค้าของรัฐบาลอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2001 จนถึงปี 2011 รวมถึงเคยเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถมายังประเทศไทยเพื่อร่วมในพระราชพิธีฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2006 ด้วย 

 

เรื่องราวอื้อฉาวของเจ้าชายเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2010 เมื่อปรากฏภาพขณะที่เขาเดินกับเจฟฟรีย์ เอปสตีน นักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ถูกดำเนินคดีในความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศและค้าประเวณีผู้เยาว์หลายคดี ทำให้เกิดคำถามถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ของเขากับอาชญากรรายดังกล่าว สถานการณ์ของเจ้าชายแอนดรูว์เลวร้ายยิ่งขึ้น เมื่อปรากฏภาพถ่ายของเจ้าชายกับ เวอร์จิเนีย จุฟเฟร หญิงสาวซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อของเอปสตีนในปี 2011 ซึ่งเจ้าชายปฏิเสธความเกี่ยวข้องใด ๆ ก่อนที่จุฟเฟรจะยื่นฟ้องเอปสตีนเป็นคดีต่อศาลแห่งรัฐฟลอริดา โดยมีการระบุด้วยว่า เธอถูกบังคับให้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเจ้าชายแอนดรูว์หลายครั้งในปี 2001 ในขณะที่เธอมีอายุเพียง 17 ปี ซึ่งถือว่ายังเป็นผู้เยาว์ตามกฎหมาย 

 

การถูกกล่าวหาว่า มีส่วนร่วมในการล่วงละเมิดทางเพศและร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ ทำให้เจ้าชายแอนดรูว์ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และต้องยุติบทบาทการเป็นผู้แทนทางการค้าของรัฐบาลอังกฤษ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าชายแอนดรูว์ยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ระบุว่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเคยมีเพศสัมพันธ์กับจุฟเฟร  

 

ต่อมาในปี 2019 ภายหลังจากที่ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ฆ่าตัวตายขณะถูกคุมขังในเรือนจำ เจ้าชายแอนดรูว์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว BBC เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว โดยปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับจุฟเฟรและไม่เคยแม้แต่รู้จักกับเธอ แม้จะมีภาพที่ใกล้ชิดระหว่างเขากับเธอปรากฏก็ตาม รวมถึงยืนยันว่าไม่ได้ติดต่อกับเอปสตีนตั้งแต่ปี 2010 แล้ว ทั้งนี้ ในการสัมภาษณ์ดังกล่าว เขาไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกเสียใจหรือรู้สึกผิดต่อการคบค้าสมาคมกับเอปสตีน ทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างหนัก และภาพลักษณ์ของเขาก็เป็นไปในทางลบมากขึ้น อีกทั้งบรรดาองค์กรที่อยู่ภายใต้ความอุปถัมภ์ของเจ้าชายต่างเรียกร้องให้เขาแสดงความรับผิดชอบและให้พ้นจากตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก จึงต้องประกาศยุติการปฏิบัติภารกิจสาธารณะในฐานะพระราชวงศ์ในปี 2019 นั้นเอง

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเจ้าชายแอนดรูว์ต้องตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่และถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงขึ้น ภายหลังจากที่จุฟเฟรได้ยื่นฟ้องเจ้าชายต่อศาลแห่งนิวยอร์กในฐานล่วงละเมิดทางเพศในปี 2021 ส่งผลให้ในปีต่อมา สมเด็จพระราชินีนาถทรงถอดเขาออกจากสถานะการเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูงที่มีการใช้คำหน้านามว่า ‘His Royal Highness’ และเรียกคืนยศทางการทหาร รวมถึงตำแหน่งองค์อุปถัมภ์ในองค์กรต่าง ๆ ทั้งนี้ แม้ว่าเจ้าชายยังคงยืนยันว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องอื้อฉาวดังกล่าว แต่เขาก็ยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้แก่จุฟเฟรเพื่อยุติคดีความในครั้งนั้น

 

เมื่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์อังกฤษต้องมาก่อน

 

แม้ว่าเจ้าชายแอนดรูว์ทรงลดบทบาทของตนเองลงและไม่ได้มีการปฏิบัติภารกิจใด ๆ ต่อสาธารณะแล้ว แต่เนื่องด้วยสถานะการเป็นเจ้าชายและเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ ทำให้เรื่องอื้อฉาวของเขายังคงเป็นประเด็นที่สถาบันกษัตริย์อังกฤษถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ  

 

เรื่องอื้อฉาวของเจ้าชายแอนดรูว์กลับมาเป็นกระแสในสังคมอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการเปิดเผยถึงหลักฐานการติดต่อกันทางอีเมล์ระหว่างเจ้าชายกับเอปสตีนในปี 2011 ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่เขายืนยันตลอดมาว่า ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเอปสตีนไปแล้วตั้งแต่มีการเผยแพร่ภาพถ่ายที่พวกเขาเดินคู่กันในปี 2010 จึงเท่ากับว่าเจ้าชายแอนดรูว์ทรงหลอกลวงและปิดบังความจริงมาโดยตลอด รวมถึงเนื้อหาการพูดคุยยังเป็นไปในทำนองว่า พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันและจะผ่านพ้นมันไปได้ (“in this together” and would “have to rise above it.”) 

 

เรื่องดังกล่าวทำให้เจ้าชายแอนดรูว์ต้องออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาว่า จะทรงยุติการใช้ตำแหน่งดยุกแห่งยอร์ก และสละสิทธิในเครื่องราชอิสริยาภรณ์อัศวินแห่งการ์เตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงของอังกฤษ เพื่อไม่ให้เรื่องราวอื้อฉาวที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องของพระองค์มีผลกระทบต่อพระเจ้าชาร์ลส์และพระราชวงศ์ โดยจะทรงมีสถานะเป็นเพียงเจ้าชาย ซึ่งเป็นสกุลยศที่ติดตัวพระองค์มาในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถ 

 

ต่อมาในวันที่ 21 ตุลาคม สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงสำหรับเขา เมื่อมีการตีพิมพ์หนังสือ Nobody’s Girl: A Memoir of Surviving Abuse and Fighting for Justice อันเป็นบันทึกความทรงจำของจุฟเฟร ผู้ซึ่งฆ่าตัวตายก่อนหน้านั้นไม่นาน ซึ่งแม้เนื้อหาหลักๆ จะเป็นเรื่องที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว แต่บันทึกเล่มนี้ได้ลงรายละเอียดถึงการล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเธอ ซึ่งรวมถึงการกระทำและคำพูดต่างๆ ของเจ้าชายแอนดรูว์ไว้ด้วย 

 

การที่พระองค์ทรงโกหกเรื่องความสัมพันธ์กับเอปสตีน ประกอบกับเรื่องราวจากบันทึกของจุฟเฟรนั้นร้ายแรงเกินกว่าที่สังคมจะยอมรับได้และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถาบันกษัตริย์ เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ทรงตัดสินพระทัยใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับแอนดรูว์ พระราชอนุชา เพื่อรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษ

 

ปัจจุบัน ความท้าทายต่อการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น หาได้เป็นความท้าทายจากการใช้ความรุนแรงผ่านการปฏิวัติหรือการลุกฮือขึ้นต่อต้านดังเช่นในอดีต หากแต่เป็นความท้าทายในการที่จะได้รับการยอมรับนับถือและการยกย่องจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินหรือการมีอภิสิทธิ์พิเศษ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ภยันตรายคุกคามที่อันตรายที่สุดสำหรับสถาบันกษัตริย์คือ วิถีทางแห่งการดำรงคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์นั้นเอง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญที่สถาบันกษัตริย์อังกฤษต้องเผชิญนับแต่ปลายรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 กล่าวคือ การที่สมาชิกพระราชวงศ์หลายพระองค์มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมและทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์จนส่งผลกระทบในแง่ลบและมีกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะปัญหาข้อเรียกร้องที่ไม่จบสิ้นของเจ้าชายแฮร์รี่กับเมแกน แมร์เคิล ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกส์ และกรณีอื้อฉาวของเจ้าชายแอนดรูว์ ทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นเหมือน ‘สนิมเกิดแต่เนื้อในตน’ หรือปัญหาจากภายในพระราชวงศ์เอง

 

เรื่องอื้อฉาวยาวนานของเจ้าชายแอนดรูว์ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ตัดสินพระทัยใช้พระราชอำนาจของพระองค์ในการถอดยศและปลดตำแหน่งของเขาในท้ายที่สุด ด้วยทรงตระหนักถึงความสำคัญของคำวิพากษ์วิจารณ์และความรู้สึกของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของความมั่นคงยั่งยืนแห่งราชบัลลังก์และสถาบันกษัตริย์อังกฤษ และมีการคาดการณ์ว่า เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ก็มีส่วนร่วมสนับสนุนการตัดสินพระทัยของพระเจ้าชาร์ลส์ในครั้งนี้ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกถอดจากทั้งการเป็นเจ้าชายแล้ว แต่แอนดรูว์ยังคงมีสถานะเป็นผู้มีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์อังกฤษในลำดับที่ 8 ตามกฎหมายว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งหากจะถอดเขาออกจากการเป็นผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์อังกฤษ จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายโดยรัฐสภา และต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศในเครือจักรภพด้วย หลายฝ่ายจึงมองว่าอาจทำให้เกิดความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากมองตามความเป็นจริง เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์สวรรคต ราชบัลลังก์ย่อมสืบทอดไปสู่เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ พระราชโอรส และก็จะสืบทอดต่อไปยังเจ้าชายจอร์จผู้เป็นพระราชนัดดาต่อไป แอนดรูว์ซึ่งไม่ใช่ทายาทสายตรงของพระเจ้าชาร์ลส์ก็ถือว่าอยู่ไกลห่างจากราชบัลลังก์และแทบไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองราชย์อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายเรื่องดังกล่าว

 

หลักเกณฑ์การถูกถอดยศของราชวงศ์อังกฤษ

 

โดยทั่วไปแล้วตามธรรมเนียมของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์จะทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการถอดถอนหรือเรียกคืนยศ ตำแหน่ง ฐานันดรศักดิ์ รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระราชทานให้แก่บุคคลต่าง ๆ และในกรณีของประเทศอังกฤษ พระมหากษัตริย์นั้นทรงมีพระราชอำนาจดังกล่าวในฐานะพระราชอำนาจดั้งเดิม (Royal Prerogative) โดยจะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นในการถอดถอนตำแหน่งเจ้าชายหรือเจ้าหญิง และสถานะการเป็น His or Her Royal Highness รวมถึงตำแหน่งต่าง ๆ เช่น เอิร์ล ดยุก เป็นต้น และในบางครั้ง รัฐสภาในฐานะองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดยังเคยมีบทบาทในการถอดยศและปลดตำแหน่งของพระราชวงศ์ผ่านการตราเป็นกฎหมายเพื่อเพิกถอนยศและตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ด้วย

 

ส่วนสาเหตุในการถอดยศและปลดตำแหน่งนั้น อาจเกิดขึ้นได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการถอดยศด้วยความประสงค์จะเสกสมรสกับบุรุษสามัญชน เช่น กรณีเจ้าหญิงแพทริเซีย พระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อปี 1919 และการถอดยศเนื่องจากมีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศ เช่น กรณีเจ้าชายชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ด ดยุคแห่งอัลบานี พระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อปี 1917 เนื่องจากทรงเป็นนายทหารของกองทัพเยอรมนี ชาติศัตรูกับอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 1 พฤติการณ์ของพระองค์จึงเป็นเสมือนการทรยศต่อประเทศ ทำให้รัฐสภาได้ตรากฎหมายถอดยศและตำแหน่งของเจ้าชายทั้งหมด 

 

กรณีการถอดยศและปลดตำแหน่งของเจ้าชายแอนดรูว์นั้น เป็นกรณีที่พระเจ้าชาร์ลส์ทรงใช้พระราชอำนาจดั้งเดิมของพระองค์ดังที่ได้กล่าวมา ซึ่งจะมีการดำเนินการออกเอกสารที่เรียกว่า ‘Letters Patent or Royal Warrant’ เพื่อให้การถอดยศและปลดตำแหน่งนั้นมีผลทางกฎหมายต่อไป อันถือเป็นกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักในราชวงศ์อังกฤษสมัยใหม่

 

อนาคตของแอนดรูว์ในฐานะสามัญชน

 

แม้ว่าจะยังไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัดถึงบทบาทและการใช้ชีวิตของอดีตเจ้าชายซึ่งกลายเป็นสามัญชน โดยไม่มีสิทธิพิเศษหรือสถานะใด ๆ อีกในอนาคต แต่เป็นที่แน่นอนว่าเขาจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ การย้ายสถานที่พักอาศัย ชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เหมือนเดิม และการเผชิญกับข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการกระทำต่าง ๆ ของเขาในอดีต

 

เรื่องแรก อดีตเจ้าชายจะต้องเสียสิทธิในการพักอาศัยที่ Royal Lodge อาคารขนาดใหญ่ที่มีห้องพักกว่า 30 ห้องและตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานปราสาทวินด์เซอร์ ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 พระราชทานสิทธิให้เขาพักอาศัยมานับตั้งแต่ปี 2003 โดย Royal Lodge นั้นถือเป็นที่พำนักที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ คาดกันว่าเขาจะย้ายไปพำนักที่ตำหนักซานดริงแฮมทันทีที่การดำเนินการทางกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว โดยสถานที่ดังกล่าวเป็นที่พักส่วนพระองค์ของกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากลอนดอนไปกว่าหนึ่งร้อยไมล์ 

 

เรื่องที่สอง การสิ้นสถานะเจ้าชาย ทำให้การดำรงชีวิตต่อจากนี้ไปทั้งในด้านที่พักอาศัยและเงินรายได้ของเขาย่อมขึ้นอยู่กับพระเจ้าชาร์ลส์ ซึ่งจะทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการดูแลพระอนุชาของพระองค์เอง และเชื่อกันว่า การใช้ชีวิตของเขาคงจะไม่ได้สะดวกสบายและง่ายดายดังเช่นในอดีต

 

เรื่องที่สาม เมื่อเป็นสามัญชนแล้ว แอนดรูว์อาจต้องเผชิญกับการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมและความไม่เหมาะสมตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของเขา โดยองค์กร Republic ซึ่งรณรงค์ให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนและดำเนินคดีกับแอนดรูว์ อีกทั้งยังมีข้อเสนอให้นำเรื่องของเขาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และให้คณะกรรมาธิการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในช่วงที่เขาปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนทางการค้าของอังกฤษ เนื่องจากมีการใช้งบประมาณของรัฐบาลในการเดินทางไปประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงตรวจสอบกรณีที่เขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับสายลับชาวจีนเมื่อปลายปี 2024 ด้วย

 

นอกจากนั้น การถูกถอดเป็นสามัญชนของแอนดรูว์ยังทำให้เกิดคำถามถึงสุนัขพันธุ์คอร์กี้ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 ซึ่งขณะนี้อยู่ในความดูแลของอดีตเจ้าชายที่ Royal Lodge ภายหลังจากการสวรรคตเมื่อปี 2022 ว่า การต้องย้ายออกจากที่พักอาศัยดังกล่าว สุนัขเหล่านี้จะอยู่ในความดูแลของผู้ใด จะเป็นแอนดรูว์ที่จะพาไปอยู่ในที่พักใหม่ด้วย หรือจะให้ลูกสาวทั้งสองของเขาเป็นผู้ดูแลแทน ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า สมเด็จพระราชินีนาถผู้ล่วงลับทรงโปรดปรานสุนัขพันธุ์คอร์กี้เป็นอย่างยิ่ง และสุนัขพันธุ์นี้ก็เป็นดังภาพความทรงจำที่คนทั่วโลกมีต่อพระองค์

 

เรื่องราวความเป็นมาของชื่อสกุล Mountbatten Windsor

 

ในแถลงการณ์ดังกล่าวยังได้มีการระบุว่า อดีตเจ้าชายจะมีชื่อใหม่ คือ Mr. Andrew Mountbattan Windsor ซึ่ง ‘Mountbatten Windsor’ นั้น เป็นชื่อสกุลของทายาทผู้สืบเชื้อสายจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 และเจ้าชายฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ โดยมีความเป็นมาที่น่าสนใจและเกี่ยวพันกับธรรรมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษ

 

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชินีนาถขึ้นครองราชสมบัติเมื่อปี 1952 ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์อังกฤษ หากสมเด็จพระราชินีนาถขึ้นครองราชสมบัติ พระราชโอรสหรือพระราชธิดาซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์หรือราชินีในรัชกาลถัดไปจะต้องเปลี่ยนชื่อราชวงศ์ไปใช้ตามชื่อสกุลของพระราชบิดาแทน ดังเช่น กรณีของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งทรงอยู่ในราชวงศ์แฮนโนเวอร์ แต่เมื่อทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต จากราชวงศ์แซ็กโคเบิร์กและโกธา ทำให้เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระราชโอรสขึ้นครองราชย์สืบแทน จึงมีการเปลี่ยนจากราชวงศ์แฮนโนเวอร์เป็นราชวงศ์แซ็กโคเบิร์กและโกธา ตามราชวงศ์ของเจ้าชายอัลเบิร์ตพระราชบิดา จนได้มีการเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นวินด์เซอร์ สมัยพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในปี 1917 เพื่อลบเลือนความเป็นเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

 

ดังนั้นแล้ว กรณีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 จึงเกิดเป็นประเด็นคำถามขึ้นว่า พระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระองค์นั้น จะต้องทรงใช้สกุลเมานต์แบตเทนของเจ้าชายฟิลลิป พระราชบิดา ตามธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าวหรือไม่ อันจะมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์จากราชวงศ์วินด์เซอร์ไปสู่ราชวงศ์เมานต์แบตเทนเมื่อพระราชโอรส คือ เจ้าชายชาร์ลส์ ขึ้นครองราชสมบัติ 

 

ปัญหานี้เองได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลและความไม่แน่นอนขึ้นในราชสำนักอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง โดยมีความคิดแตกต่างเป็นสองฝ่าย กล่าวคือ เจ้าชายฟิลลิป รวมถึงลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบตเทน ผู้เป็นพระปิตุลา (ลุง) ของเจ้าชายมีความประสงค์ให้ใช้สกุลเมานต์แบตเทน ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยเป็นมา ในขณะที่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์วินด์เซอร์ เช่น สมเด็จพระราชินีแมรี่ ในพระเจ้าจอร์จที่ 5 ผู้ทรงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นราชวงศ์วินด์เซอร์ ซึ่งทรงเป็นพระอัยยิกา (ย่า) และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธ พระราชมารดา รวมถึงเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่างมีความเห็นว่า สมเด็จพระราชินีนาถควรธำรงคงไว้ซึ่งเกียรติยศแห่งราชวงศ์และราชตระกูลวินด์เซอร์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชื่อราชวงศ์ดังธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้สามารถรับชมได้จากซีรี่ย์ the Crown ซีซั่น 1 ตอนที่ 3 Windsor

 

สุดท้ายแล้ว ในวันที่ 9 เมษายน 1952 สมเด็จพระราชินีนาถได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศว่า พระองค์และพระราชโอรสธิดาจะทรงใช้ชื่อราชวงศ์และชื่อราชตระกูลว่า วินด์เซอร์ รวมตลอดถึงทายาทของพระองค์ก็จะใช้ชื่อนี้สืบเนื่องไป เว้นแต่ทายาทฝ่ายหญิงที่สมรสแล้วเท่านั้น อันเท่ากับเป็นการยืนยันการธำรงอยู่ของราชวงศ์วินด์เซอร์ต่อไป ซึ่งการประกาศดังกล่าว ทำให้เจ้าชายฟิลลิปทรงเสียพระทัยมาก และมีเรื่องเล่าว่า ทรงตัดพ้อกับพระสหายด้วยความน้อยพระทัยว่าทรงเป็นชายเพียงคนเดียวในประเทศนี้ที่ไม่อาจให้ทายาทใช้ชื่อสกุลของตนเองได้ 

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 1960 สมเด็จพระราชินีนาถทรงมีพระบรมราชโองการให้ทายาทผู้เป็นเชื้อสายของพระองค์ที่ไม่ได้มีฐานันดรศักดิ์ หรือทายาทฝ่ายหญิงที่สมรสแล้วสามารถใช้ชื่อสกุล เมานต์แบตเทน วินด์เซอร์ (Mountbatten Windsor) ได้ อีกทั้งชื่อสกุลนี้ยังสามารถใช้ในกิจการส่วนพระองค์หรือใช้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องระบุชื่อสกุล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแยกสายพระราชวงศ์ของพระองค์จากสายของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และเพื่อเป็นการแสดงถึงความรักที่ทรงมีต่อพระราชสวามีด้วย ทำให้ปัจจุบันชื่อสกุลเมานต์แบตเทนจึงยังคงปรากฏสืบต่อมาในชื่อ Mountbatten Windsor นั้นเอง

 

การใช้ชื่อสกุลดังกล่าวนั้นยังปรากฏอยู่เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายวิลเลียม เมื่อครั้งยังทรงเป็นดยุกแห่งเคมบริดจ์ ได้ทรงกรอกชื่อสกุลของพระองค์ว่า Mountbatten Windsor ในการดำเนินการทางกฎหมายกับสื่อสิ่งพิมพ์ของฝรั่งเศสกรณีล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของดัสเชสแห่งเคมบริดจ์ และเจ้าชายแฮร์รี่ ดยุกแห่งซัสเซกส์ ก็ให้พระโอรสและพระธิดา คือ อาร์ชี่และลิลิเบ็ธใช้ชื่อสกุล Mountbatten Windsor เช่นกัน

 

ชื่อสกุล Mountbatten-Windsor ซึ่งมีความเป็นมาเกี่ยวพันกับพระราชวงศ์และธรรมเนียมปฏิบัติที่ยาวนานของอังกฤษ จึงได้กลับมาปรากฏเป็นที่รู้จักจากการเปลี่ยนสถานะจาก ‘เจ้าชาย’ เป็น ‘นายแอนดรูว์’ ในครั้งนี้เอง

 

‘การถอดยศและปลดตำแหน่ง’ กับความพยายามในการปรับตัวของสถาบันกษัตริย์อังกฤษ

 

การถอดยศและปลดตำแหน่งของแอนดรูว์ในครั้งนี้ อาจมองได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งสมาชิกพระราชวงศ์ถูกคาดหวังว่าจะต้องดำรงตนโดยปราศจากข้อครหาใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ให้สมกับสถานะและการมีอภิสิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ แม้ว่าแอนดรูว์จะยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาที่เขาได้รับ แต่การที่แถลงการณ์เกี่ยวกับการถอดยศเจ้าชายแอนดรูว์ ได้ระบุถึงข้อความที่พระเจ้าชาร์ลส์และสมเด็จพระราชินีทรงมีความห่วงใยและส่งความปรารถนาดีไปยังบรรดาเหยื่อและผู้ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว ย่อมสะท้อนถึงมุมมองของสถาบันกษัตริย์อังกฤษต่อการกระทำของแอนดรูว์ได้เป็นอย่างดี

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงแรกซึ่งเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นนั้น ราชสำนักเองก็ได้ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเจ้าชายแอนดรูว์ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนและไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว จึงมีการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้น ทำให้มีผู้เชื่อว่า สถาบันกษัตริย์อังกฤษนั้นมีส่วนในการปกป้องและให้ความคุ้มครองแก่แอนดรูว์ตลอดมา 

 

ดังนั้น การถอดยศและปลดตำแหน่งดังกล่าวอาจจะไม่ได้เป็นการตัดเนื้อร้ายก่อนที่จะลุกลามมาสร้างความเสียหายให้แก่สถาบันกษัตริย์อังกฤษอย่างที่มีการคาดหมาย เพราะเรื่องราวของแอนดรูว์นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์อังกฤษมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปี ซึ่งจะต้องติดตามต่อไปว่า บทบาทของสถาบันกษัตริย์อังกฤษในเรื่องนี้จะเป็นเช่นใด รวมถึงการตรวจสอบและการพิสูจน์ถึงการกระทำของอดีตเจ้าชายแอนดรูว์จะมีขึ้นหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุด การตัดสินพระทัยของพระเจ้าชาร์ลส์ในครั้งนี้ก็ถือเป็นความพยายามในการปรับตัวอีกครั้งของสถาบันกษัตริย์อังกฤษเพื่อความอยู่รอดในโลกสมัยใหม่ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะจากปัญหาภายในสถาบันกษัตริย์เอง

 

ภาพ: Max Mumby / Indigo via Getty Images

 

อ้างอิง: 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising