เทรนด์ของธุรกิจพลังงานสะอาดในช่วงตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐบาล หน่วยงานเอกชน บริษัทต่างๆ ไปจนถึงบรรดานักลงทุนและผู้บริโภคจำนวนมาก เพราะต่างก็มองเห็นตรงกันแล้วว่า ‘นี่คือขุมกำลังแห่งอนาคต’ ที่จะถูกใช้งานขับเคลื่อนธุรกิจในวันข้างหน้าได้อย่างมหาศาล
‘Prime’ (PRIME) หรือบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมธุรกิจพลังงานสะอาดมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยปัจจุบันพวกเขาถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นบนศึกโซลาร์เซลล์พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ที่เดินหน้าขยายพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- กัมพูชาเริ่มสร้างท่าเรือใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองรับเรือน้ำหนัก 1 แสนตัน
- กัมพูชาส่งออก ‘เครื่องนุ่งห่ม-รองเท้า-สินค้าเดินทาง’ โตขึ้น 15.2% ในปี 2021
- ‘ทุนจีน’ กำลังทอดทิ้ง สีหนุวิลล์ หรือไม่? เมื่อเมืองนี้กำลังเต็มไปด้วยตึกที่สร้างไม่เสร็จนับพันแห่ง
สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา (จะรายงานผลการดำเนินงานทั้งปี 2563 ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้) Prime ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัท และพบว่าพวกเขามีรายรับรวมที่ 568 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าที่ 16% และมีกำไรสุทธิรวมที่ 256 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2562 กว่า 20%
เมื่อจำแนกรายได้ของบริษัทตามสัดส่วนธุรกิจต่างๆ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จะพบว่ารายได้หลักของ Prime ส่วนใหญ่ยังคงมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าที่ 49.65% ที่เหลืออีก 42.8% และ 7.6% แบ่งเป็นรายได้จากส่วนแบ่งกำไรในบริษัทอื่นๆ ที่พวกเขาได้เข้าไปร่วมธุรกิจ และรายได้ในธุรกิจใหม่ (EPC รับเหมาติดตั้งระบบโซลาร์ ขายไฟให้เอกชนด้วยโซลาร์บนหลังคา และ Trading ขายวัสดุอุปกรณ์อุตสาหกรรมพลังงาน) ฯลฯ ตามลำดับ
ทั้งนี้ธุรกิจหลักของ Prime ยังคงเน้นที่ ‘ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์’ ซึ่งสร้างรายได้รวมให้บริษัทมากถึง 522.11 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 92% ของรายได้ทั้งบริษัท (นับรวมทั้งธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าของตัวเองและการร่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ ที่เข้าไปร่วมธุรกิจ) โดยมีโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ทั้งในไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และกัมพูชา
โดยนับจนถึงล่าสุด พวกเขามีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ติดตั้งรวมทั้งสิ้น 287 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังผลิตที่ Prime ติดตั้งและเป็นเจ้าของเอง 167.7 เมกะวัตต์ (ที่เหลือราว 120 เมกะวัตต์เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินธุรกิจร่วมกับบริษัทอื่นๆ เช่น บ้านปู เป็นต้น) ซึ่งในจำนวนนี้เป็นโครงการที่พัฒนาเสร็จและขายไฟฟ้าแล้ว (COD) ที่ 80.4 เมกะวัตต์
สำหรับในปี 2564 นี้ Prime ตั้งเป้าที่รายได้ตลอดทั้งปีที่ราว 2,000-2,200 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและธุรกิจรับเหมาติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ (EPC) ที่ 700 ล้านบาทเท่าๆ กัน ที่เหลือ 500 ล้านบาทจะอยู่ในกลุ่ม Trading ขายวัสดุอุปกรณ์อุตสาหกรรมพลังงาน และอีก 300 ล้านบาทจะมาจาก ‘PrimeX’ หนึ่งในหน่วยธุรกิจใหม่ของ Prime ในรูปแบบการ Joint Venture (70%) ร่วมกับ 3 บริษัทคือ Siam Greenergy, Wongpaiboon Engineering และ Big Data Technologies ซึ่งจะรุกธุรกิจให้คำปรึกษา ติดตั้งเทคโนโลยี และระบบการจัดการพลังงานสะอาดในอาคาร
นอกเหนือจากนี้ Prime ยังอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับโครงการในอนาคตอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย
1. โครงการ Yabuki ฟูกูชิมะ – ขนาดกำลังติดตั้ง 9.834 MW สัญญา FiT ขายไฟในราคา 10.2 บาท/kWh หรือ 36 เยน/kWh สัญญาระยะเวลา 20 ปี เริ่ม COD ไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา
2. โครงการ ‘กัมพูชา’ เฟส 2 ที่กัมปงชนัง (อยู่ระหว่างยื่นประมูล / ประกาศผล 6 เดือนหลังจากกุมภาพันธ์นี้) – กำลังการผลิต 55 MW ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) อยู่ติดกับเฟสที่ 1 ของ Prime ซึ่งจะ COD ในไตรมาส 2 ของปี 2022 ซึ่งจะส่งผลให้มีกระแสไฟฟ้าผลิตรวม 100 MW รวมถึงจะช่วยให้ต้นทุนกระบวนการดำเนินงานถูกลง
3. โครงการ Sherabed Solar PV PPP ‘อุซเบกิซสถาน’ (อยู่ระหว่างยื่นประมูล) – มีกำลังการผลิตที่ 200 MW ภายใต้ความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากจีน TBEA
4. โครงการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ใน ‘ไต้หวัน’ – กำลังการผลิตรวม 14.2 MW ในรูปแบบการจำหน่ายไฟให้รัฐบาล สัญญา FiT ที่ 20 ปี
สมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ซีอีโอของ Prime เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าตนได้ตั้งเป้าหมายงบลงทุนในปีนี้ของบริษัทไว้ที่ 1,500-3,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะไม่ใช้วิธีการเพิ่มทุน (แม้จะเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แต่จะใช้เมื่อมีความจำเป็นและสร้างผลตอบแทนได้มากสุดเท่านั้น) แต่จะเลือกใช้วิธีการที่หลากหลายในการหาเงินมาลงทุนให้กับการดำเนินธุรกิจเพิ่มเติม
โดยตั้งเป้าจะชนะการประมูลที่ ‘อุซเบกิซสถาน’ ให้ได้ เพราะเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายฐานการบิดดิ้งเข้าประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกต่อจากนี้
“ผมเชื่อว่าเทรนด์ธุรกิจโซลาร์ต่อจากนี้จะกลายไปเป็น ‘การประมูล’ บิดดิ้งเข้าถือสิทธิการทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายๆ ประเทศมากขึ้น จากเดิมที่จะเป็นการสนับสนุนโดยภาครัฐเป็นหลัก เนื่องจากการแข่งขันในตลาดเข้าสู่ช่วงที่ ‘สมบูรณ์’ แล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะมีการประกาศแผนการรุกธุรกิจมากกว่าหนึ่งประเทศออกมาแน่นอน”
สำหรับประเด็นการปันผลนั้น ผู้บริหาร Prime บอกว่าหากทุนที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอต่อการนำไปต่อยอดลงทุนก็คงจะต้องชะลอเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ที่สำคัญผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันนี้ที่ 80% ก็ยังเป็นกลุ่มผู้บริหารของ Prime อยู่ดี ดังนั้นเป้าหมายหลักของบริษัทในตอนนี้จึงเน้นไปที่การลงทุนเป็นอันดับแรก รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นให้เร็วที่สุดภายใต้เงื่อนไขการดำเนินธุรกิจที่มีอยู่อย่างจำกัด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์