×

โบรกฯ ส่องงบ Q1/63 ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก BJC-CPALL ใครแจ่มกว่ากัน

โดย efinanceThai
30.04.2020
  • LOADING...

โบรกฯ ส่องหุ้น 2 ยักษ์ค้าปลีกไทย ประเมินงบ Q1/63 มอง BJC กำไรทรงตัว โควิด-19 กระทบภาพรวมมาถึง Q2 แต่มีจุดแกร่งเพราะเป็นผู้ผลิตสินค้าเอง ฟาก CPALL คาดกำไรวูบ 3% แต่ให้จับตา จะได้ TESCO มาเสริมแกร่งในอนาคต

บล.หยวนต้า เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ของ 2 บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของไทยอย่างบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC

โดยคาดการเติบโตของยอดขายที่สาขาเดิม (SSSG) ของ CPALL จะติดลบราว 2-3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ BJC ติดลบราว 5%YoY รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ที่นักท่องเที่ยวเริ่มลดลงตามสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มรุนแรง จนถึงการล็อกดาวน์ในช่วงกลางเดือนมีนาคม

ทั้งนี้มีเพียง MAKRO ที่เห็นการเติบโตของ SSSG เราคาด +5%YoY สวนทางจากกลุ่มค้าปลีกโดยรวมที่ติดลบ 5-9%YoY เนื่องจากผลของการล็อกดาวน์ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคนิยมที่ไม่เดินทางและอยู่บ้าน ขณะเดียวกับราคาสินค้าอาหารสด หมูและไก่ยังอยู่ในระดับดี โดยเฉพาะสาขา Makro Food Service ที่ได้รับความนิยมในช่วงต้นของการประกาศล็อกดาวน์ ทำให้เกิด Panic Buying

มองว่าผลของการล็อกดาวน์ในเดือนเมษายนทั้งเดือน และอาจมีความต่อเนื่องไปยังช่วงต้นถึงกลางเดือนพฤษภาคม จะส่งผลต่อยอดขายที่ชะงักไปในช่วงเวลาดังกล่าว โดยผลกระทบยังคงเกิดขึ้นในสินค้าที่ไม่อยู่ในหมวดเพื่อการดำรงชีพที่ยังขายสินค้าไม่ได้ ประกอบกับแรงซื้อในระดับกลางถึงล่างที่อาจชะลอตัวตามกำลังซื้อที่จำกัด โดยเราคาด SSSG ของ Q2/63 ยังเห็นตัวเลขที่ติดลบต่อเนื่อง ขณะที่คาดผลจากมาตรการเยียวยาและการปลดล็อกจะให้ผลตอบรับต่อแรงซื้อที่ดีขึ้นในช่วง 2H63

สำหรับผลประกอบการ Q1/63 ของทั้ง CPALL และ BJC มีผลกระทบทางตรงจากยอดขายที่ลดลงตามทิศทางเดียวกับ SSSG โดยเราคาด CPALL จะมีกำไรปกติที่ 5.5 พันล้านบาท (-3%YoY, -8% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)) ได้ผู้ช่วยที่ดีจากผลประกอบการ MAKRO ช่วยหนุน

ส่วน BJC คาดมีกำไรปกติราว 1.4 พันล้านบาท (-1%YoY, -40%QoQ) โดยรวมของกำไรในกลุ่มผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อ จะเห็นการอ่อนตัวของกำไรปกติน้อยกว่า 5%YoY ซึ่งจะแตกต่างจากกลุ่มค้าปลีกในการจำหน่ายสินค้าอื่นที่เราประมาณการจะเห็นการปรับลดของกำไรปกติมากกว่า 10%YoY

ประเมิน BJC และ CPALL มีผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่ม จากการมีธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อที่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ ซึ่งจะเห็นการลดลงของ SSSG ทั้ง Q1/63 และ Q2/63 น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ขณะที่หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย กำลังซื้อเริ่มกลับมา จะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายในช่วง 2H63 แนะนำ ทยอยสะสม CPALL ราคาเหมาะสมที่ 81 บาท และ BJC ราคาเหมาะสมที่ 50 บาท

 

หุ้น ราคาเป้าหมาย อัพไซด์ กำไร (ล้านบาท) เติบโต PE ปันผล
  (บาท)   2562 2563 2562 2563 2562 2563 2563
BJC 50 20.50% 7,260 7,566 8.70% 3.80% 23.4 22.3 2.30%
CPALL 81 17.80% 22,343 23,275 6.80% 4.20% 27.4 26.5 1.90%

 

BJC คาดกำไรทรงตัว
คาด BJC จะมีกำไรปกติราว 1.4 พันล้านบาท (-40%QoQ, -1%YoY) ทรงตัวรายปีด้วยผลกระทบจากรายได้ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท (-7%QoQ, -2%YoY) ซึ่งเกิดจากแรงซื้อที่อ่อนแรงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จากผลกระทบโควิด-19 รวมถึงการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับการล็อกดาวน์ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ปรับลดจากรายไตรมาสเนื่องจาก Q4/62 มีอัตราการเสียภาษีที่น้อยกว่า และมาร์จิ้นที่ทำได้ดีกว่าแต่ทรงตัว เมื่อเทียบกับปีที่ 19.2% โดยธุรกิจที่เห็นการเติบโตยังคงเป็นธุรกิจอุปโภคบริโภค

แม้ว่า BIGC ในส่วนของร้านสะดวกซื้อที่สามารถเปิดจำหน่ายสินค้าได้ ภายใต้ Mini Big C และ Big C Market อย่างไรก็ดี ส่วนของสินค้าที่ไม่เกี่ยวเนื่องเพื่อยังชีพในไฮเปอร์มาร์เก็ตของแต่ละสาขาไม่สามารถเปิดขายได้ตามปกติ คาด SSSG ใน Q1/63 ยังเป็นตัวเลขที่ติดลบราว 5%YoY ต่อเนื่องจาก Q4/62 ผลกระทบจากแรงซื้อที่หดตัวจากภาวะเศรษฐกิจและนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง ซึ่ง BIGC มี 3 สาขาที่มีผลกระทบ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวราว 50% เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน (สาขาราชดำริ พัทยา และภูเก็ต) ซึ่งจะมีผลต่อรายได้

มองผลกระทบจากโควิด-19 จะมีผลต่อยอดขายที่ลดลงจากสินค้าที่ไม่อยู่ในกรอบของการขาย (สินค้าเพื่อการยังชีพ) และต่อเนื่องไปยัง Q2/63 ที่มีการล็อกดาวน์ทั้งเดือนเมษายน

อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่มีความต่อเนื่องจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค จากกระดาษชำระ, สบู่, ขนมขบเคี้ยว รวมถึงการผลิตอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เจลล้างมือแอลกอฮอล์ ยังมีส่วนช่วยพยุงรายได้ใน Q2/63 รวมถึงการมีร้านค้าสะดวกซื้อ เช่น Mini Big C และ Big C Market ยังคงช่วยรักษาระดับรายได้ของธุรกิจค้าปลีกไว้ได้ โดย BJC มีแผนขยายสาขาและช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังกลุ่ม CLMV ซึ่งยังคงสร้างโอกาสการเติบโตที่ดีในระยะกลาง-ยาว ราคาเหมาะสมปี 2563 ที่ 50 บาท (DCF)

CPALL งบโค้งแรกหาย 3% จับตา TESCO มาเสริมแกร่งในอนาคต
คาดผลประกอบการ Q1/63 มีกำไรปกติ 5.5 พันล้านบาท (-3%YoY, -8%QoQ) ผลกระทบเชิงลบจากแรงซื้อที่ชะลอตัวลงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จากฐานสูงในปีก่อนเนื่องจากวันตรุษจีน และยอดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเริ่มลดลง รวมถึงการท่องเที่ยวภายในประเทศจากความกังวลโรคระบาดโควิด-19

ขณะที่แรงซื้อมีแรงพยุงจากมาตรการภาครัฐในการล็อกดาวน์ในเดือนมีนาคม และจำกัดสินค้าขายเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นในการดำรงชีพ โดยมีรายได้รวม 1.3 แสนล้านบาท (+3%YoY, -3%QoQ) โดยมีแรงหนุนจาก MAKRO จากสินค้าที่ขายเป็นสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ขายราคาส่ง ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด

SSSG ใน Q1/63 จะติดลบราว 2-3%YoY แม้ว่าจะได้ประโยชน์จากธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ (7-Eleven) ซึ่งสามารถเปิดดำเนินการขายได้ในช่วงเวลาล็อกดาวน์ และมี Panic Buying อย่างไรก็ดี ผลสะท้อนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจนถึงการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี การลดลงของ SSSG ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ลดลงราว 5-9%YoY

ขณะที่ MAKRO จะเป็นผู้ประกอบการที่มี SSSG สวนทางจากกลุ่มที่เป็นบวกราว 5%YoY ซึ่งได้ประโยชน์จากยอดขายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะสาขา Food Service ที่ได้รับความนิยม รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการซื้อสินค้าสดในการปรุงอาหารเองจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่มีผลกระทบโดยตรงเฉพาะกลุ่ม Horeca ที่งดกิจกรรมตามนโยบายภาครัฐ

มอง CPALL เป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ ซึ่งรับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มจากการล็อกดาวน์ ขณะที่ธุรกิจของ MAKRO กับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงยังคงเห็นยอดขายที่มีความต่อเนื่อง คาดเห็นยอดขายและผลประกอบการทำได้ดีกว่ากลุ่ม

ขณะที่ในปี 2564 จะเห็นความคืบหน้าของการเข้าลงทุนใน Tesco Lotus ในการเสริมศักยภาพของจากอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ ซึ่งได้ประโยชน์ในระยะยาว ราคาเหมาะสมปี 2563 ที่ 81 บาท (DCF)

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

เรียบเรียง: สุรเมธี มณีสุโข 

ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com  

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising