ตลาดซื้อขายนักเตะพรีเมียร์ลีกอังกฤษได้ปิดลงเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศอังกฤษ หรือประมาณ 5.00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยในช่วงโค้งสุดท้ายมีการปิดดีลกันอย่างคึกคักเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยในตลาดซื้อขายนักเตะครั้งนี้ เราจะไปสำรวจว่า 6 ทีมใหญ่ตั้งแต่ อาร์เซนอล, เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ใครผิดหวังและสมหวังอย่างไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย
อาร์เซนอล
เป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับอาร์เซนอล หลังจากที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ได้รับสัญญาฉบับใหม่เป็นเวลา 2 ปี ทำให้เขาต้องเริ่มฤดูกาลนี้ด้วยการเสริมทัพเร็วกว่าทีมอื่นๆ โดยเวนเกอร์เริ่มต้นด้วยการเซ็นสัญญา ซีด โคลาซินาค กองหลังตัวเก๋าจากชาลเก 04 ต่อด้วยการเซ็นสัญญากับ อเล็กซองเดร ลากาเซตต์ ศูนย์หน้าชาวฝรั่งเศส ซึ่งฤดูกาลนี้ยิงไปแล้ว 1 ประตู จากการลงเล่น 3 นัด
โดยวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ แฟนอาร์เซนอลต่างก็ต้องช้ำใจหลังจากที่ได้รับข่าวว่า อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมลิเวอร์พูล แต่ก็มีข่าวดีว่าอาจจะได้ตัว โธมัส เลอมาร์ โดยเวนเกอร์มีข่าวว่าเดินทางไปถึงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย โดยสื่อต่างก็คาดการณ์กันว่าค่าตัวจะอยู่ที่ 95 ล้านปอนด์
แต่สุดท้ายเวลาก็หมดลง และเวนเกอร์ก็ถอนตัวจากดีลนี้ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าทีมไม่สามารถดำเนินการได้ทันเวลา แต่ก็เป็นข่าวดี เพราะสุดท้ายนักเตะหลักอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ ยังคงอยู่กับทีมต่อไป
เชลซี
ฟอร์มของแชมป์เก่าในฤดูกาลนี้ดูจะไม่สู้ดีนัก ด้วยการพลาดเป้าหมายหลักอย่าง โรเมลู ลูกากู และเสียนักเตะหลักอย่าง เนมันยา มาติช ให้กับคู่อริลุ้นแชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงในวันสุดท้ายไม่สามารถปิดดีลกับ รอส บาร์คลีย์ และเสียอีกหนึ่งเป้าหมายหลักอย่าง เฟร์นานโด ยอเรนเต ให้กับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ซุ่มเงียบมาปิดดีลในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาด
แต่สิงห์บลูส์ก็เดินหน้าเสริมทัพถึง 7 คน ประกอบไปด้วย อัลบาโร โมราตา, ติเอมูเอ บากาโยโก, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, วิลลี กาบาเยโร และในช่วงท้ายได้ ดาวิเด ซัปปาคอสตา, แดนนี่ ดริงก์วอเตอร์, คีเลียน อาซาร์ และ อีธาน อัมปาดู มาเสริมทัพ โดยรวมกับนักเตะชุดที่มีอยู่ ทำให้แชมป์เก่ายังคงเป็นหนึ่งในทีมลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้
ลิเวอร์พูล
เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือชาวเยอรมันปีนี้เสริมทัพได้อย่างดุดัน โดยได้นักเตะอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ช่วงสตาร์ทฤดูกาลที่ผ่านมาพิสูจน์ตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่า เช่นเดียวกับการปิดดีล นาบี เกอิตา ด้วยค่าตัว 48 ล้านปอนด์ ถึงแม้ว่านาบีจะมาร่วมทีมในฤดูกาลหน้า แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีในการได้ห้องเครื่องตัวเก่งมาเสริมทัพในที่สุด และการปิดดีลคว้าตัว อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน ปีกตัวเก่งของอาร์เซนอลมาร่วมทีมได้สำเร็จ โดยคลอปป์เผยว่าชื่นชอบและติดตามออกซ์เลดมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว
แต่ในช่วงสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ ถึงแม้ว่าลิเวอร์พูลจะมีข่าว ‘จ่อเปิดตัว’ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ทั้งการรายงานว่ารถตู้สโมสรลิเวอร์พูลที่เคยไปรับซาลาห์มาอยู่ที่สนามบินเมืองลิเวอร์พูลแล้ว แต่สุดท้ายหงส์แดงก็พลาดโอกาสคว้าตัวกองหลังรายนี้จากเซาแธมป์ตันไปอย่างน่าเสียดาย รวมถึงข่าวที่รายงานว่าทีมงานของลิเวอร์พูลยกทีมไปโมนาโกพร้อมทีมแพทย์ เพื่อเจรจาปิดดีล โธมัส เลอมาร์ สุดท้ายดีลนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเช่นกัน
แต่สถานการณ์ของ ฟิลิปป์ คูตินโญ ก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะในช่วงเช้าวันนี้ (1 กันยายน) มีเพียงตลาดซื้อขายนักเตะของพรีเมียร์ลีกอังกฤษเท่านั้นที่ปิดตัวลง แต่ในบาร์เซโลนา สเปน ยังมีเวลาถึง 5.00 น. ของวันที่ 2 กันยายนนี้ ตามเวลาประเทศไทย
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เรือใบสีฟ้า ถือเป็นทีมที่ใช้เงินทุ่มซื้อนักเตะอย่างมหาศาลในครั้งนี้ พวกเขาซื้อนักเตะรวมกันทั้งหมด 7 คน โดยใช้เงินไปทั้งหมด 220 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 9 พันล้านบาท โดยครั้งนี้ เปป กวาร์ดิโอลา ต้องการแก้ไขเกมรับเป็นหลัก โดยปล่อยตัวนักเตะอย่าง ปาโบล ซาบาเลตา, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, กาแอล กลิชี และ บาการี ซานญา ออกจากทีม เพื่อเปิดทางให้กับ ไคล์ วอล์กเกอร์ แบ็กขวาค่าตัว 50 ล้านปอนด์ ดานิโล จากเรอัล มาดริด และ เบนจามิน เมนดี แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส รวมถึงยังได้เปิดตัว แอเดอร์สัน ผู้รักษาประตูจากเบนฟิกา ด้วยค่าตัวสถิติโลก 35 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลกทันที
ที่โค้งสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีข่าวจ่อคว้าตัว อเล็กซิส ซานเชซ จากอาร์เซนอล จนถึงขั้นมีการปล่อยภาพตัดต่อซานเชซในเสื้อเรือใบสีฟ้า แต่สุดท้ายดีลนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามที่รายงานกันอย่างคึกคักเมื่อคืนวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นทีมที่เปิดตัวได้ดีที่สุด โดยลงแข่งขันไป 3 นัด ชนะทั้งหมด และยิงประตูรวมกันได้ 10 ประตู โดยหนึ่งในความสำเร็จช่วงต้นนี้เกิดจากศูนย์หน้าใหม่ โรเมลู ลูกากู ที่ลงเล่นไป 3 นัด ยิงไปแล้ว 3 ประตู รวมถึงการได้ เนมันยา มาติช ห้องเครื่องคนสำคัญของเชลซี มาร่วมทีมกับมูรินโญอีกครั้ง ช่วยให้ พอล ป๊อกบา อดีตนักเตะที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลกได้รับอิสระในการสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้ปีศาจแดงดูจะออกสตาร์ทได้สดใสที่สุดจากนักเตะใหม่ที่เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในครั้งนี้
โดยนอกจาก วิกเตอร์ ลินเดลอฟ ปราการหลังจากทีมเบนฟิกา ที่ปีศาจแดงได้มาเป็นอะไหล่เสริมเกมรับแล้ว ช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ ทีมยังได้รับข่าวดี เมื่อ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ตัดสินใจต่อสัญญากับทีมไปอีกหนึ่งปี และจะมาเป็นศูนย์หน้าชั้นเยี่ยมในการถล่มประตูคู่แข่งได้อีกครั้งหรือไม่ ต้องรอติดตามกันในฤดูกาลนี้
ส่วนวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ ปีศาจแดงถือว่าเงียบพอสมควร โดยมีรายงานข่าวเพียงแค่ ริยาด มาห์เรซ มาโผล่ที่สนามซ้อมแคร์ริงตัน ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายทั้งข่าวการปรากฏตัวที่สนามซ้อมและการซื้อตัวนักเตะรายนี้ก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์
ปีกไก่เดือยทองในช่วงก่อนหน้านี้ถือว่าเงียบเหงาในตลาดซื้อขายนักเตะ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่า ในครั้งนี้สเปอร์จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการใช้จ่าย เนื่องจากการสร้างสนามใหม่ นิว ไวต์ ฮาร์ต เลน ที่มีการทุ่มทุน 750 ล้านปอนด์เพื่อสร้างสนามแห่งนี้
แต่สุดท้ายโปเชตติโนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการคว้าตัวนักเตะในช่วงท้ายของตลาดมาถึง 5 คน เริ่มจาก เดวินสัน ซานเชซ กองหลังดาวรุ่งของ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม และ เปาโล กาซซานิกา ผู้รักษาประตูจากเซาแธมป์ตัน
นอกจากนี้ยังคว้าตัว ฆวน มาร์กอส ฟอยธ์ แนวรับวัย 19 ปี รวมถึงเป้าหมายหลักอย่าง แซร์ช ออริเยร์ แบ็กขวาทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาทดแทนการเสีย ไคล์ วอล์กเกอร์ ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่ก่อนปิดตลาด สเปอร์ยังได้ทำแสบกับเชลซี แชมป์เก่า ด้วยการเซ็นสัญญา เฟร์นานโด ยอเรนเต ศูนย์หน้าจากสวอนซี ตัดหน้าเชลซีที่มีข่าวกับนักเตะรายนี้มาเป็นสัปดาห์อีกด้วย
อัตราเงินเฟ้อ พรีเมียร์ลีกทำลายสถิติยอดเงินในตลาดซื้อขายนักเตะอีกครั้ง
ในตลาดซื้อขายนักเตะครั้งนี้ พรีเมียร์ลีกได้ทำยอดทะลุสถิติเก่าอีกครั้ง โดยยอดเงินในตลาดซื้อขายนักเตะครั้งที่แล้วอยู่ที่ 1,165 ล้านปอนด์ ขณะที่ครั้งนี้ยอดพุ่งสูงขึ้นไปถึง 1,590 ล้านปอนด์
Credit: BBC Sport
โดยจากการวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศเชื่อว่า สาเหตุหลักของการใช้เงินอย่างมหาศาลของทีมอังกฤษในตลาดครั้งนี้เกิดจากยอดเงินลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่สูงขึ้นทุกปี โดยลิขสิทธิ์ล่าสุด พรีเมียร์ลีกได้เซ็นสัญญากับ Sky และ BT Sport ที่ 5,136 ล้านปอนด์เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 2016-2018 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นถึง 71% จากดีลครั้งก่อนในฤดูกาล 2013-2016 ที่ทำไว้ 3,018 ล้านปอนด์ ขณะที่ลิขสิทธิ์ของลาลีกา สเปน ล่าสุดเซ็นสัญญาที่ 2.65 ล้านยูโร ลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่ 748.5 ล้านยูโร และอาจเป็นเหตุผลให้ทีมในพรีเมียร์ลีกพร้อมทุ่มเงินมากกว่าทีมจากลีกอื่น เนื่องจากมีรายได้ที่ชัดเจนและมั่นคง
นอกจากนี้ค่าผู้สนับสนุนหรือสปอนเซอร์ก็สูงขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เซ็นกับ Chevrolet ที่มูลค่า 67 ล้านยูโร เพื่อให้มีสัญลักษณ์ของแบรนด์ติดอยู่ที่หน้าอก ขณะที่ Nike ได้จ่ายให้กับบาร์เซโลนาอย่างน้อย 150 ล้านยูโร เพื่อลิขสิทธิ์การทำเสื้อทำกับทีม รวมถึงสโมสรอย่าง บาร์เยิร์น มิวนิก ก็ได้เซ็นสัญญากับท่าอากาศยานนานาชาติฮาหมัด ของประเทศการ์ตา เป็นสปอนเซอร์บนแขนเสื้อแข่งเป็นเจ้าแรก เห็นได้ชัดจากดีลต่างๆ ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างชาติ และเงินทุนเหล่านี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้เกิดการทำลายสถิติโลกของค่าตัวนักเตะ
การที่นักเตะในพรีเมียร์ลีกกลายเป็นซูเปอร์สตาร์จากความนิยมของลีกที่สูงขึ้น ซึ่งดำเนินไปพร้อมกับโซเชียลมีเดียที่ทำให้โลกของเราเล็กลงทุกวัน และ ทำให้แฟนคลับสามารถเข้าถึงนักเตะในดวงใจได้ตามช่องทางต่างๆ ก็เป็นตัวช่วยในการผลักดันให้ผู้สนับสนุนนำเงินเข้ามาสปอนเซอร์นักเตะ โดย นาศิร อัลเคาะลัยฟี ประธานสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง เชื่อว่า ดีลการซื้อตัวเนย์มาร์ที่ 222 ล้านยูโร ในอนาคตเนย์มาร์จะมีมูลค่าสูงถึง 450 ล้านยูโร เนื่องจากแฟนบอลที่ชื่นชอบเนย์มาร์จะเดินทางเข้าสนามเพื่อชมเขาลงเล่น และเข้ามาซื้อเสื้อนักเตะตัวละ 160 ยูโร ยังไม่รวมถึงโอกาสทางการตลาดที่จะเกิดขึ้นในโลกโซเชียลมีเดียอีกด้วย
อ้างอิง:
- http://www.bbc.com/sport/football/41035026
- http://www.skysports.com/football/news/11095/11010992/transfer-deadline-day-when-does-window-close-whos-on-the-move-follow-the-drama-with-sky-sports
- http://www.skysports.com/football/news/11095/11013346/transfer-deadline-day-completed-deals
- https://www.vanguardngr.com/2017/08/deadlineday-driving-stunning-transfer-spending/