พรีเมียร์ลีกการ์ดตก? การ ‘กอด’ กลายเป็นปัญหาระดับชาติของอังกฤษได้อย่างไร?

ถึงแม้ในจดหมายเปิดผนึกจาก ริชาร์ด มาสเตอร์ส ประธานบริหารพรีเมียร์ลีกที่ส่งถึงสโมสรทั้ง 20 แห่งจะไม่ได้มีการเขียนคำว่า ‘การ์ดตก’ ลงไปในนั้น แต่เนื้อหาสาระและใจความสำคัญอยู่ที่การตักเตือนเหล่านักเตะทุกคนที่เริ่มละเลยการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคระบาดตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา

โดยสิ่งที่ได้รับการเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า ห้ามกระทำเด็ดขาดมีอยู่หลายสิ่งด้วยกัน เพียงแต่มี 3 สิ่งที่แทบไม่มีใครปฏิบัติตามแล้ว

การจับมือ
การตีมือ (High Five)
การสวมกอด

ประเด็นเรื่องความย่อหย่อนต่อการปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโควิด-19 ระบาดนั้นกลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เริ่มมีจำนวนนักฟุตบอลหรือสตาฟฟ์ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ และส่งผลกระทบต่อเกมหลายนัดที่ต้องถูกเลื่อนออกไป ไม่สามารถลงแข่งขันได้ หรือแข่งขันได้แบบจำนนเหมือนในเกมเอฟเอคัพ ที่แอสตัน วิลลาต้องใช้ผู้เล่นดาวรุ่งในการลงสนามเจอกับลิเวอร์พูลชุดใหญ่

จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในอังกฤษที่รุนแรงอย่างมาก มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 9 ล้านคน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายนี้ถึง 80,000 คน

สถานการณ์เลวร้ายที่ไม่ต่างอะไรจากแดนมิคสัญญีนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมหาศาล โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ไม่สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพในระหว่างการล็อกดาวน์ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ของประเทศ

ลำพังเพียงแต่ที่เกมฟุตบอลอาชีพได้รับอนุญาตให้ทำการแข่งขันต่อได้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามแล้ว แต่ภาพของนักฟุตบอลที่ปฏิบัติตัวใกล้เคียงสภาวะปกติ โดยเฉพาะการสวมกอดกันเพื่อฉลองประตูหรือฉลองชัยชนะนั้นไม่ต่างอะไรจากมีดที่กรีดลงหัวใจของผู้คน

นั่นจึงเป็นที่มาของการส่งจดหมายเตือนอย่างเป็นทางการจากพรีเมียร์ลีก รวมถึงจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ถึงทุกสโมสร

ไม่นับเสียงติฉินจากหลายฝ่ายที่ไม่พอใจกับการปฏิบัติของนักฟุตบอลที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สังคม ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างระหว่างกัน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดด้วย

เพราะนอกสนามฟุตบอล ในชีวิตจริงของคนทั่วไปเวลานี้ทุกคนถูกสั่งให้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีข้อยกเว้น

หนึ่งในสิ่งต้องห้ามคือการเข้าใกล้หรือสัมผัสทางกายภาพ ต่อให้เป็นคนใกล้ชิดของชีวิตแค่ไหนก็ตาม

ภาพ: Premier League

อย่างไรก็ดี ในมุมของคนที่อยู่ในสนามอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขามองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติตามได้ยาก

“เราจะพยายามทำตามสิ่งที่พรีเมียร์ลีกพูด แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ไหม” เป๊ปกล่าวถึงเรื่องนี้ “ผมเคารพในมาตรการของพรีเมียร์ลีก ผมเข้าใจอย่างดีถึงสิ่งที่พวกเขาพยายามทำ”

ยากเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างการสวมกอดกันของนักฟุตบอลนั้นมันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามห้วงอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหากคิดตามคำพูดของเป๊ป

“เวลาอยู่ในที่ร่มเราทุกคนเคารพกฎการรักษาระยะห่าง เราปฏิบัติตาม แต่เวลาอยู่ข้างนอกในสนามซ้อมหรือสนามแข่ง หลังจากที่ต้องเข้ารับการตรวจหลายต่อหลายครั้ง ในช่วงวินาทีของความสุข การกอดเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณของมนุษย์ มันจึงเป็นเรื่องยาก และผมก็ไม่รู้ว่าเราจะสามารถทำตามได้หรือไม่”

ถ้ายึดตามสิ่งที่ได้เห็นในระหว่างเกมที่แมนฯ ซิตี้เอาชนะไบรท์ตันได้ 1-0 นักเตะซิตี้เซนส์มารวมตัวกันฉลองประตูของ ฟิล โฟเดน ไอ้หนูดาวรุ่งอันเป็นที่รักของทีมมากถึง 8 คน ก็ชัดเจนแล้วว่าแมนฯ ซิตี้ล้มเหลว

เพียงแต่ในอีกสนาม ประตูของ แฮร์รี เคน ที่ยิงให้ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ขึ้นนำฟูแลมก่อนตั้งแต่ต้นเกม มีคนที่มาร่วมฉลองประตูนี้เพียงแค่ 5 คน และไม่มีการสวมกอดกัน มีแค่การตีมือหรือการใช้ข้อศอกชนกัน ซึ่งเป็นการฉลองประตูเหมือนช่วงแรกที่กลับมาลงสนามได้อีกคครั้ง

นั่นแปลว่าหากมีความตั้งใจ นักเตะเองก็สามารถจะกลับไปทำแบบเดิมได้เหมือนที่เคยเห็นตัวอย่างมาแล้ว

เกรแฮม พอตเตอร์ ผู้จัดการทีมไบรท์ตันเองคิดในทางตรงกันข้ามกับเป๊ป โดยเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติตามได้

“เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดของเราให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง” พอตเตอร์กล่าว ซึ่งน่าเสียดายที่ทีมของเขาไม่มีโอกาสได้ฉลองประตู เพราะเป็นฝ่ายแพ้ในเกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พรีเมียร์ลีกเตรียมที่จะเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการ โดยจะมีการลงโทษนักฟุตบอลหรือสโมสรที่ไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

เพราะหากสุดท้ายแล้วพรีเมียร์ลีกถูกทางการสั่งให้หยุดการแข่งขันเพียงเพราะนักฟุตบอลไม่ปฏิบัติตามมาตรการการรักษาระยะห่างระหว่างกัน มูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั้นยากที่จะประเมิน

สุดท้ายทุกฝ่ายก็จะพ่ายแพ้กันหมด ไม่มีใครชนะเลย

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง: