พรีเมียร์ลีกอังกฤษ หรือลีกแข่งขันฟุตบอลของประเทศอังกฤษ ทำสถิติใหม่อีกครั้งสำหรับการทุ่มเงินลงทุนซื้อนักฟุตบอลเข้ามาในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.5 พันล้านปอนด์ หรือราว 6.3 หมื่นล้านบาท
ยอดการใช้จ่ายเบื้องต้นของสโมสรในพรีเมียร์ลีกพุ่งทะลุ 1.5 พันล้านปอนด์ และอาจจะสูงขึ้นไปกว่านั้นได้อีก เนื่องจากช่วงเวลาซื้อขายนักเตะจะยังคงเปิดจนถึงวันที่ 1 กันยายน 2565 ในเวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศอังกฤษ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วงการฟุตบอลจับตา หลัง อีลอน มัสก์ ทวีตข้อความ “ผมกำลังจะซื้อแมนฯ ยูไนเต็ด”
- ‘สปอนเซอร์และ CRM’ เบื้องหลังเหตุผลที่ ‘สโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ’ ยอมเดินทางครึ่งโลกเพื่อมาหาแฟนบอลเอเชียอีกครั้ง!
- ฝืดในสนามไม่เป็นไร ตราบใดที่ฟอร์มใน Wall Street ของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยังร้อนแรง!
ข้อมูลจาก Deloitte’s Sports Business Group ระบุว่า สำหรับสถิติการใช้จ่ายสูงสุดเดิมทำไว้เมื่อปี 2017 ด้วยมูลค่า 1.4 พันล้านปอนด์
ไม่เพียงแค่นั้น ข้อมูลจากเว็บไซต์ Transfermarkt ยังระบุอีกว่า แม้จะหักรายได้จากการขายนักเตะแล้ว สโมสรในพรีเมียร์ลีกยังคงมียอดใช้จ่ายสุทธิถึง 942 ล้านปอนด์ ณ วันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่ลาลีกาลีกของสเปนซึ่งมียอดใช้จ่ายซื้อนักเตะสุทธิอันดับสองยังมีมูลค่าเพียง 48 ล้านปอนด์ในฤดูร้อนปีนี้
ขณะที่สโมสรในโปรตุเกสเป็นกลุ่มที่มีรายได้เป็นบวกราว 220 ล้านปอนด์ จากการซื้อขายนักเตะในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงได้ส่งแรงกดดันไปยังเงินในกระเป๋าของแฟนบอลของละทีม ขณะที่ Chris Wood ผู้ช่วยผู้อำนวยการของ Deloitte’s Sports Business Group กล่าวว่า ในอดีตแฟนบอลของแต่ละทีมค่อนข้างเหนียวแน่นมาก แต่ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างมาก จึงเกิดคำถามตามมาว่าตั๋วเข้าชมเกมในสนามแต่ละนัดจะยังขายหมดอยู่หรือไม่
Marlon Fleischman เอเจนต์ของ Unique Sports Group ซึ่งเป็นตัวแทนของนักฟุตบอลหลายรายในอังกฤษ อาทิเช่น รีซ เจมส์ นักฟุตบอลของเชลซี ระบุว่า การใช้จ่ายของสโมสรในพรีเมียร์ลีกมากกว่าลีกอื่นๆ อย่างมาก เป็นอะไรที่น่าประหลาดใจมาก
สโมสรอย่างเชลซีและนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด มีเจ้าของใหม่ในปีนี้ ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีผู้จัดการทีมคนใหม่ และต้องการที่จะทำอันดับเพื่อกลับไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง ส่วนแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีรายได้เป็นบวกในปีนี้ แม้ว่าจะทุ่มเงินซื้อตัว เออร์ลิง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าชาวนอร์เวย์เข้ามาด้วยราคา 60 ล้านปอนด์ แต่ก็ขายนักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง และ กาเบรียล เซซุส ออกไปรวมกันกว่า 100 ล้านปอนด์
โดยภาพรวมสโมสรที่ใช้จ่ายสุทธิไปเกิน 100 ล้านปอนด์ เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้จ่ายสุทธิไปราว 220 ล้านปอนด์ เชลซี 140 ล้านปอนด์ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 120 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตาม พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ยังคงเป็นลีคฟุตบอลยอดนิยมและสร้างรายได้มหาศาลจากการถ่ายทอดการแข่งขัน ซึ่งปีนี้รายได้จากการถ่ายทอดเพิ่มขึ้น 10% สู่ระดับ 6 พันล้านปอนด์
เดวิด ดิอาซ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายด้านกีฬาของ Baker McKenzie Madrid กล่าวว่า หากสโมสรในพรีเมียร์ลีกยังคงเดินหน้าซื้อตัวนักเตะมีชื่อเสียงเช่นนี้ พรีเมียร์ลีกก็จะยังคงมีอำนาจต่อรองสูงในเรื่องค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด
แต่ในมุมของ Giovanni Branchini เอเจนต์นักฟุตบอล มองว่า แม้พรีเมียร์ลีกจะได้ประโยชน์จากการนำเสนอการแข่งขันฟุตบอลที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลก แต่วิกฤตครั้งใหญ่จะตามมาในไม่ช้า เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน
“พวกเขาอยู่ในช่วงเวลามหัศจรรย์ แต่ไร้ซึ่งความระมัดระวัง สำหรับฟุตบอลอังกฤษมันไม่มีราคาที่แพงเกินไป ค่าตัวนักเตะยังคงเพิ่มสูงขึ้น และแต่ละสโมสรก็ยังคงซื้อต่อไป”
อ้างอิง: