หัวข้อในเนื้อหานี้
3,087 ล้านปอนด์ (1.34 แสนล้านบาท) คือยอดจำนวนเงินสุทธิคร่าวๆ ที่ 20 สโมสรในพรีเมียร์ลีกใช้จ่ายกันในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูร้อนของปี 2025
โดยในวันที่ 31 สิงหาคม หรือหนึ่งวันก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลง ยอดการใช้จ่ายอยู่ที่ 2,730 ล้านปอนด์ ซึ่งก็นับว่ามากมายมหาศาลอยู่แล้ว
แต่ในวันสุดท้ายของเส้นตายการย้ายทีม (Deadline day) มีการย้ายทีมกันในแบบ “ฝุ่นตลบ” พอสมควร นำโดย อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่ย้ายจากนิวคาสเซิล มาอยู่กับลิเวอร์พูล (สักที!) ด้วยราคา 125 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของอังกฤษ
ตัวเลขการย้ายทีมทะลุหลัก “3 พันล้าน” เป็นตัวเลขที่ทำลายสถิติตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย และมากกว่าตัวเลขการซื้อขายปีก่อนที่ค่อนข้างซบเซา ที่ 1.96 พันล้านปอนด์มากทีเดียว
เหตุผลหลักนั้นเป็นเพราะแต่ละทีมถอดบทเรียนจากฤดูกาลที่แล้วและพยายามที่จะเสริมกำลังในจุดที่ยังอ่อนหรือมีปัญหาอยู่ เพราะเห็นได้ชัดว่าการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมาทวีความเข้มข้นอย่างมาก และคาดว่าจะยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกในฤดูกาลนี้ (แมนเชสเตอร์ ซิตี ก็แพ้ให้ดู 2 นัดติดแล้ว…)
ว่าแต่วันนี้อยากชวนกันมาโฟกัสกันที่กลุ่ม “Big Six” หรือ 6 ทีมท็อปของอังกฤษที่เสริมทัพกันแบบน่าสนใจ
ถ้าเราจะให้คะแนนการเสริมทัพของแต่ละทีมกันดู คิดว่าทีมใหญ่เหล่านี้ควรจะได้คะแนนกันสักกี่คะแนน?
อาร์เซนอล (เกรด A)
ความผิดหวังจากการเป็นรองแชมป์ติดต่อกัน 3 ฤดูกาลทำให้อาร์เซนอล ต้องการที่จะก้าวข้ามกำแพงสูงไปสู่การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ และนั่นทำให้ในฤดูกาลนี้พวกเขามีการเสริมทัพผู้เล่นตัวหลักถึง 8 รายด้วยกัน
ยกเครดิตให้กับ อันเดรีย แบร์ตา ผู้อำนวยการสโมสรคนใหม่จากแอตเลติโก มาดริด ที่มารับช่วงต่อจากเอดู ตำนานสโมสรที่ประกาศอำลาตำแหน่งไปในฤดูกาลที่แล้ว ที่สามารถดึงนักเตะฝีเท้าดีมาอุดจุดอ่อนได้ครบถ้วนทั้งหมด
เริ่มจากจุดใหญ่อย่างศูนย์หน้าที่ตามหามานาน ก็ใช้ความพยายามจนสามารถคว้าตัววิคเตอร์ ยอเคอเรส มาจากสปอร์ติง ลิสบอนได้สำเร็จ เช่นกันกับการเสริมแนวรุก 2 ฝั่งเพิ่มด้วยผู้เล่นอย่าง โนนี มาดูเอเก ตัวริมเส้นที่เอาไว้ทดแทนกับบูกาโย ซากา และเอเบเรชี เอเซ เพลย์เมคเกอร์ที่คาดว่าจะประจำการฝั่งซ้ายแทนที่ของกาเบรียล มาร์ติเนลลี หรือปั้นเกมแทนมาร์ติน โอเดอการ์ด กัปตันทีมในยามจำเป็น
อาร์เซนอลยังได้ “ตัวแรร์” อย่างมาร์ติน ซูบิเมนดี กองกลางห้องเครื่องดีกรีทีมชาติสเปน มาจากเรอัล โซเซียดัด ที่ไม่เคยยอมย้ายไปทีมไหนมาก่อน (ปีกลายก็เทลิเวอร์พูลแบบหน้าชา) มาคุมแดนกลาง
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทั้งตัวประสบการณ์สูงอย่างคริสเตียน นอร์การ์ด กองกลางสายบู๊, เคปา ประตูที่เคยแพงที่สุดในโลก และดาวรุ่งอย่างคริสเตียน มอสเกรา และคนสุดท้ายคือปิเอโร ฮินคาปิเอเข้ามาเสริมทัพอีกคน
ในภาพรวมต้องบอกว่าเป็นการเสริมทัพที่ตอบโจทย์ครบทุกจุด แม้จะมีข้อสังเกตบ้างว่าในรายของยอเคอเรส, ซูบิเมนดี หรือเอเซ ที่เป็นการเซ็นสัญญา “บิ๊กดีล” นั้นเป็นนักเตะที่อายุ 26-27 ปี อายุการใช้งานอาจจะไม่มากเท่าดาวรุ่ง แต่ก็สะท้อนว่าอาร์เซนอลขอเน้นตัวที่ใช้งานได้เลยไม่ต้องรอปั้นเยอะ เพราะความสำเร็จต้องมาแล้วในฤดูกาลนี้
ขณะที่ฝั่งขาออกนั้นนอกจากโธมัส ปาร์ตีย์, จอร์จินโญ ที่หมดสัญญาแล้ว จะเป็นกลุ่มตัวสำรองอย่าง ยาคุบ คิวิออร์, นูโน ตาวาเรส, มาร์ควินญอส และโอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก ที่ได้เงินกลับเข้าสโมสรไม่เท่าไร
🗣️ ความเห็นประกอบ: แก้ปัญหาทุกจุดแบบเน้นๆ ไม่มีเหนียม เน้นคุณภาพควบคู่ปริมาณ
เชลซี (เกรด B)
นับตั้งแต่ทอดด์ โบลีย์ และกองทุน Clearlake Capital เทคโอเวอร์กิจการเชลซีต่อจากโรมัน อบราโมวิช ดูเหมือนสโมสรดังจากลอนดอนแห่งนี้จะกลายเป็นตำราวิชา Modern Football Business ไปแล้ว
เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการหาช่องโหว่ด้วยการ Amortisation ผ่านสัญญาระยะเวลาหลายปี หรือการแปรรูปสินทรัพย์ของสโมสร เช่น โรงแรม หรือทีมฟุตบอลหญิงขายออกมาให้บริษัทในเครือของตัวเองเพื่อตกแต่งบัญชีให้ไม่ผิดกฎ Profit and Sustainability Rules (PSR) แล้ว
ในเรื่องโมเดลการซื้อขายผู้เล่นของเชลซี เวลานี้เริ่มชัดเจนว่าไม่ธรรมดา เพราะการซื้อผู้เล่นเข้ามาเป็นจำนวนมากในทุกปีนั้น กลับพิสูจน์ให้เห็นว่ามันไม่ได้เป็นการซื้อมั่วซั่วขนาดนั้น เมื่อพวกเขาทำรายได้กลับมาจากการขายนักเตะที่ไม่ได้ใช้งานกลับมาได้เงินเป็นจำนวนมากในระดับเป็นแชมป์ของการซื้อขายเลยทีเดียว
หัวใจสำคัญคือเชลซีจะเลือกซื้อผู้เล่นที่แววดี พอมีชื่อเสียง อายุน้อย โดยจะเสนอสัญญาระยะยาวเพื่อมัดใจในเรื่องของความมั่นคง (ซึ่งนักฟุตบอลชอบ) โดยที่หากลองแล้วไม่เวิร์คก็จะไม่มีการเก็บไว้ให้รกบ้าน แต่จะเปิดท้ายขายกันแบบชัดเจน ทำให้มีอัตราการ Turnover ในทีมค่อนข้างสูงและเร็วมาก
ฤดูร้อนนี้เชลซีเสริมนักเตะเข้ามาหลายราย แต่ที่สังเกตได้คือไม่มีใครที่อายุเกิน 23 ปีเลยแม้แต่คนเดียว. คนที่อายุมากที่สุดคือ ชูเอา เปโดร กองหน้าจากไบรตันที่อายุ 23 ปี รองลงมาคือ เลียม ดีแลป, อเลฮานโดร การ์นาโช, เจมี กิตเทนส์, ดาริโอ เอสซูโก ไปจนถึง โจเรลล์ ฮาโต และเอสเตเวา
ถามว่านักเตะเหล่านี้เสริมทัพให้เชลซีแกร่งขึ้นขนาดนั้นจริงไหม? คนเดยวที่พอจะบอกแบบนั้นได้คือชูเอา เปโดร ที่กลายเป็นสตาร์ของทีมอย่างรวดเร็ว แต่นอกเหนือจากนั้นเป็นเหมือนการช้อนซื้อเอาไว้ลงทุนมากกว่า
🗣️ ความเห็นประกอบ: ในเชิงธุรกิจอาจจะตอบโจทย์ แต่ทีมที่จะประสบความสำเร็จในสนามต้องการนักเตะที่มีประสบการณ์มากกว่านี้
แมนฯ ซิตี (เกรด C)
ความล้มเหลวในระดับ “พังพาบ” ของแมนฯ ซิตี ในฤดูกาลที่แล้วทำให้มีการคาดกันว่าพวกเขาจะกลับมาเสริมทัพในระดับ “ถ่ายเลือด”
แต่ความเป็นจริงแล้วแมนฯ ซิตี เปลี่ยนแปลงไม่ได้มากนักโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูหนาวพวกเขาได้ผู้เล่นมาแล้วบางส่วน อย่าง โอมาร์ มามูช, นิโค กอนซาเลซ, อับดูโคดีร์ คูชานอฟ
เมื่อถึงฤดูร้อนแมนฯ ซิตี้ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งสำคัญอย่างผู้อำนวยการสโมสรจาก ซิกิ เบกิริสไตน์ มันสมองที่ช่วยสร้างทีมมาตั้งแต่ช่วงแรกของการเทกโอเวอร์สโมสร มาเป็นฮูโก วิอานา อดีตผู้อำนวยการสโมสรสปอร์ติง ลิสบอน มีการเสริมทัพเฉพาะบางจุดที่จำเป็นเท่านั้น
นักเตะที่ถูกดึงเข้ามาอย่าง ทิยานี ไรน์เดอร์ส, รายาน เอต-นูรี และรายาน เชร์กี รวมถึง เจมส์ แทรฟฟอร์ด ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแฟนๆ พอสมควร เพียงแต่ทีมยังคงมีปัญหาซึ่งสะท้อนจากการพ่ายแพ้ 2 นัดติดต่อกันต่อสเปอร์ส และไบรตัน
สตาร์คนสุดท้ายที่ถูกดึงตัวมาคือ จิอันลุยจิ ดอนนารุมมา ที่มาแทนที่เอแดร์สัน อดีตประตูมือ 1 นอกจากนี้ทีมยังเสีย เควิน เดอ บรอย ที่หมดสัญญาและยอมปล่อยตัว แจ็ก กรีลิช ที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมแต่กลับไปทำผลงานได้โดดเด่นกับเอฟเวอร์ตันแทน
ในภาพรวมแล้วฤดูร้อนนี้ของแมนฯ ซิตี น่าผิดหวัง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงศักยภาพของทีมและปัญหาภายในทีมที่ดูเหมือนมันสมองของเป๊ป กวาร์ดิโอลา อย่างเดียวก็เริ่มจะตันแล้วเหมือนกัน
🗣️ ความเห็นประกอบ: อย่างน้อยควรดึงสตาร์ในระดับท็อปมาเชิดหน้าชูตาชุบชูใจกันบ้าง
แมนฯ ยูไนเต็ด (เกรด D)
หลังปีแห่งหายนะที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด สิ่งที่แฟนปีศาจแดงทั่วโลกอยากเห็นคือความตั้งใจจริงที่จะหาทางกลับมาตั้งหลักเพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้ได้อีกครั้ง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเสริมทัพที่ไม่รู้จะแก้ปัญหาให้กับทีมได้จริงหรือไม่?
เพราะในขณะที่ปัญหาของแมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของรูเบน อโมริม นั้นสามารถชี้ไปได้ทุกจุดตั้งแต่แดนหน้ายันผู้รักษาประตู แต่นักเตะหลักที่ถูกเสริมเข้ามากลับโฟกัสไปที่ 3 ตำแหน่งในแดนหน้า
ถามว่า มาเธอุส คุนญา, ไบรอัน เอ็มเบอโม หรือเบนจามิน เซสโก้ เป็นการเสริมทัพที่น่าตื่นเต้นไหม? ก็ต้องบอกว่าน่าตื่นเต้นพอสมควร 2 คนแรกเป็นผู้เล่นระดับสตาร์ของพรีเมียร์ลีกที่พิสูจน์ผลงานมาแล้วว่ายอดเยี่ยมขนาดเล่นให้กับสโมสรระดับรองอย่าง วูล์ฟส์ และเบรนท์ฟอร์ด
ขณะที่เซสโก คือหนึ่งในศูนย์หน้าที่ร้อนแรงและมีอนาคตน่าจับตามองมากที่สุดของยุคที่ทีมคู่แข่งอย่าง อาร์เซนอล หรือลิเวอร์พูลเองก็เคยหมายปองเช่นกัน
แต่การทุ่มเงิน 200 ล้านปอนด์เพื่อแก้ปัญหาแค่จุดเดียว ไม่สามารถกลบปัญหาในจุดอื่นได้อีก โดยเฉพาะพื้นที่ตรงกลางสนามที่อโมริมไม่มีกองกลางที่ลงตัวในบทบาทห้องเครื่อง ทั้งบรูโน เฟอร์นันเดส, คาเซมิโร หรือมานูเอล อูการ์เต พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่เวิร์ก
ขณะที่วิงแบ็กสองข้าง พาทริก ดอร์กู, ดีโอโก ดาโลต์ ก็ไม่มีประสิทธิภาพ แม้แต่อาหมัด ดิยาลโล ที่เป็นดาวเด่นของทีมในฤดูกาลที่แล้วก็เริ่มฟอร์มดรอปสูญเสียความเฉียบคมและความมั่นใจเพราะไม่รู้ว่าควรจะเล่นตรงไหนกันแน่
สุดท้ายก่อนตลาดซื้อขายจะปิดตัวลง แมนฯ ยูไนเต็ดเลือกแก้ปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างผู้รักษาประตูโดยเลือก แซนน์ ลัมเมนส์ ประตูดาวรุ่งจากเบลเยียม มากกว่าเอมิเลียโน มาร์ติเนซ ประตูระดับดีกรีแชมป์โลกของแอสตัน วิลลา ด้วยเหตุผลค่าเหนื่อยที่สูงกว่า
ในส่วนของการ “กำจัด” ผู้เล่นส่วนเกิน โดยเฉพาะในกลุ่ม “Bomb squad” ที่อโมริมต้องการเขี่ยให้พ้นทีม ถ้ามองว่าจัดการตะเพิดไปได้เกือบหมด (ยกเว้นไทเรลล์ มาลาเซีย ที่ไม่มีใครเอา) ก็ถือว่าสำเร็จ เขี่ยออกจากทีมได้
แต่ถ้ามองผลประกอบการที่ได้รับกลับมา ไม่ว่าจะรายของมาร์คัส แรชฟอร์ด, อเลฮานโดร การ์นาโช, ราสมุส ฮอยลุนด์, แอนโธนี และจาดอน ซานโชแล้ว ก็ต้องบอกว่า “เจ๊งยับ” ทุกตัว ซึ่งก็เป็นผลจากการจัดการของอโมริมเองที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
แมนฯ ยูไนเต็ด เสียโอกาสสำคัญที่จะวางรากฐานทีมใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย และอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายรอบตลาดกว่าที่จะจัดการสะสางปัญหาได้หมด
🗣️ ความเห็นประกอบ: เสริมทัพเหมือนจะดีแต่ควรจะทำได้ดีกว่านี้มาก ต้องศึกษาจากคู่แข่งอีกเยอะ
ลิเวอร์พูล (เกียรตินิยมเหรียญทอง)
นี่ไม่ใช่แค่ตำนานของตลาดการซื้อขาย แต่เป็นตำราระดับ Harvard Business School ได้เลยสำหรับลิเวอร์พูลในตลาดการซื้อขายรอบฤดูร้อน 2025
เพราะหลังจากที่เก็บตัวเงียบแทบไม่เสริมทัพเลยในรอบหลายตลาดที่ผ่านมา (ฤดูร้อนที่แล้วเสริมแค่ เฟเดริโก คิเอซา ก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลง) ในฤดูร้อนนี้ลิเวอร์พูลเดินหน้าเสริมทัพแหลก ที่สำคัญเป็นการเสริมทัพที่โดดเด่นคว้าผู้เล่นในระดับ “The Best” แทบทุกตำแหน่งเลยทีเดียว
การจุดประกายครั้งใหญ่คือการได้ตัว ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เพชรเม็ดงามวงการฟุตบอลเยอรมันมาจากเลเวอร์คูเซน ที่เป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าลิเวอร์พูล “เปลี๊ยนไป๋” พร้อมจ่ายเงินเพื่อคว้าสตาร์ระดับหัวแถวมาเสริมทีม
ก่อนที่จะเปิดเกม “Power Play” กับนิวคาสเซิล ด้วยการหยั่งเชิงสอบถามความเป็นไปได้ในการซื้ออเล็กซานเดอร์ อิซัค เป้าหมายหลักของทีม ซึ่งเมื่อถูกปฏิเสธในครั้งแรกทำให้ไปคว้าตัวฮูโก เอคิติเกที่นิวคาสเซิลกำลังเจรจาอยู่มาทันที (แต่ในเบื้องหลังลิเวอร์พูล ยืมมือนิวคาสเซิลเปิดเจรจากับแฟรงค์เฟิร์ตก่อน)
สุดท้ายหลังใช้ความอดทนอยู่นานก็ได้ อเล็กซานเดอร์ อิซัค มาจากนิวคาสเซิลก่อนตลาดปิดด้วยสถิติใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษอีกคน ทำให้จิ๊กซอว์ในแนวรุกถือว่าครบถ้วน ทดแทนการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จากการจากไปของดีโอโก โชตาในเชิงของผู้เล่นได้ (แต่ในเชิงความสูญเสียทางจิตใจไม่อาจประเมินได้)
ลิเวอร์พูลยังได้ฟูลแบ็กระดับท็อปอย่างมิลอส เคอร์เคซ รวมถึงเจเรมี ฟริมปง มาเป็นมิติใหม่ของทีม รวมถึงจิโอวานนี เลโอนี ปราการหลังอนาคตไกลของวงการฟุตบอลอิตาลีที่ดึงมาจากปาร์มา เพื่อทดแทนจาเรลล์ ควานซาห์ ที่ย้ายออกไป และได้ประตูมาใหม่อีก 3 คน คือ จอร์จี มามาร์ดาชวิลี, เฟร็ดดี วูดแมน และอาร์มิน เพคซี
อย่างไรก็ดีในฝั่งขาออก ก็ต้องบอกว่าลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงมาก สูญเสียผู้เล่นสำคัญของทีมอย่าง หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเยซ, ควีนวิน เคลเลเฮอร์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และจาเรลล์ ควานซาห์ รวมถึงกลุ่มตัวสำรองที่ไว้ใจได้อย่าง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, คอสตัส ซิมิกาส, เบน โด๊ก และไทเลอร์ มอร์ตัน
สิ่งที่ยอดเยี่ยมคือ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ในฐานะผู้อำนวยการสโมสรที่รับผิดชอบการเจรจาซื้อขายหาเงินกลับมาได้จากกลุ่มนักเตะเหล่านี้ได้มากกว่า 200 ล้านยูโร ทำให้แม้จะใช้จ่ายเกิน 400 ล้านยอด Net spend ก็แค่หลัก 200 ล้านเท่านั้น โดยที่อย่าลืมว่าลิเวอร์พูลมีรายรับเพิ่มขึ้นมหาศาล จากเงินรางวัล (แชมป์พรีเมียร์ลีก, เข้ารอบน็อกเอาต์แชมเปียนส์ลีก), รายได้สปอนเซอร์ใหญ่รายใหม่ Adidas และที่ผ่านมาก็แทบไม่ได้ใช้เงินเลย
แอบเสียดายที่มันควรจะเป็นตลาดที่สมบูรณ์แบบตลอดกาลหากพวกเขาได้ มาร์ค เกอี กองหลังระดับเสาหลักทีมชาติอังกฤษมาจากคริสตัล พาเลซอีกราย ซึ่งน่าเสียดายที่ดีลล้มในช่วงสุดท้ายก่อนตลาดจะปิดตัวลงก่อน
แต่แค่นี้ก็ต้องบอกว่านี่คือซัมเมอร์ที่น่าจดจำที่สุดของแฟนลิเวอร์พูล ที่อาจจะไม่ชินนักกับความเป็นเจ้าบุญทุ่มของทีม แต่ถ้ามองให้ดีเป็นการซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วยเหตุและผล รวมถึงข้อมูล ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกอย่างเดียว ซึ่งมาจากการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการระหว่างทุกฝ่ายของสโมสร
มันอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับแต่งทีมบ้างสำหรับอาร์เนอ สล็อต แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูลพวกเขากำลังตื่นเต้นเหมือนรอดูการ์ตูนช่อง 9 ที่หน้าจอประมาณนั้นเลย
🗣️ ความเห็นประกอบ: ริชาร์ด ฮิวจ์ส แก้ตัวจากปีกลายและกลายเป็นตำนานอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ปีเดียวด้วยผลงานระดับ Masterpiece ของวงการ
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (เกรด B)
ถึงผลงานในฤดูกาลที่แล้วจะไม่ดีนักแต่สเปอร์สยังคงเป็นทีมในกลุ่ม Big Six ที่มีแฟนจำนวนมาก และความเคลื่อนไหวในรอบตลาดฤดูร้อนของพวกเขาก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
อย่างแรกคือการคว้าตัวกุนซือมือดีภาพลักษณ์หล่ออย่าง โธมัส แฟรงค์ มาร่วมทีมจากเบรนต์ฟอร์ดได้สำเร็จ (แม้จะมีราคาที่ต้องจ่ายก็เถอะ) โดยกุนซือเลือดเดนส์มาแทนที่ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ที่ถึงจะทำตามคำพูด “คว้าแชมป์ในปีที่ 2” ได้สำเร็จ แต่ผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมาเลวร้ายเกินไปในภาพรวม
สิ่งที่ทำให้แฟนสเปอร์สประหลาดใจคือหลังการได้แฟรงค์มาคุมทัพ ดาเนียล เลวี ที่ปกติควักกระเป๋ายากกลับเอาใจด้วยการซื้อผู้เล่นเข้ามาหลายราย
ไม่ว่าจะเป็น โมฮัมเหม็ด คูดุส, มาธิส เทล, เควิน ดานโซ และชูเอา ปาลินญา (ยืมตัว) ก่อนที่จะได้ซาวี ซิมอนส์ กับแรนดอลล์ โคโล มัวนี (ยืมตัว) มาก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลง โดยที่ยังไม่นับโคตะ ทาคาอิ กองหลังอนาคตไกลทีมชาติญี่ปุ่นอีกคนด้วย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความล้มเหลวในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว แต่ทีมดันคว้าแชมป์ยูโรปาลีกได้ทำให้ได้สิทธิ์ลงแข่งแชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นโอกาสในการโกยรายได้สำคัญ ทำให้มีการอนุมัติงบประมาณในการเสริมทัพมากจนแอบคิดว่าปอสเตโคกลู จะน้อยใจหรือไม่
อีกส่วนคือการเสียซนฮึงมินกัปตันทีมที่ตัดสินใจอำลาทีมเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแอลเอเอฟซี ทำให้ทีมต้องหาคนที่จะมาเป็นดาวเด่นคนต่อไป ซึ่งก็นำมาสู่ดีลของคูดุส และซิมอนส์นั่นเอง
🗣️ ความเห็นประกอบ: จริงๆก็ถือว่าซื้อตัวดีพอสมควรเลย แค่อาจจะไม่หวือหวาเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับอาร์เซนอลหรือลิเวอร์พูล แต่การได้ปาลินญามาเสริมแดนกลางนี่อารมณ์เหมือนถูกหวยเลขท้าย 2 ตัว