×

พลิกเกมตลาดนาฬิกาหรู: มือสองรุ่ง มือหนึ่งร่วง จากมาตรการภาษี

25.09.2025
  • LOADING...

ช่วงนี้ตลาดนาฬิกาหรูเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ เพราะเกมพลิกไปมาจากมาตรการภาษีใหม่ที่ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยมีตัวเลขที่น่าสนใจคือยอดการนำเข้านาฬิกาสวิสสู่สหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นถึง 107% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน แต่เมื่อล่วงเข้าสู่เดือนสิงหาคมการส่งออกนาฬิกาสวิสไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 23.9%

 

ส่วนหนึ่งก็มาจากมาตรการภาษีนำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ของอเมริกาสูงถึง 39% ถือเป็นหนึ่งในภาษีนำเข้าที่สูงที่สุดที่สหรัฐฯ เคยเรียกเก็บ ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมนาฬิกาหรูสวิสโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดนาฬิกาหรูอย่างฉับพลันทั้งในตลาดสินค้าใหม่และตลาดมือสอง

 

ก่อนภาษี 39% จะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม บริษัทนาฬิกาหลายแห่งพยายามเร่งนำเข้าสินค้าจำนวนมหาศาลเข้าสู่สหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระทางภาษี จนทำให้ยอดการส่งออกนาฬิกาสวิสทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 6.9% ในเดือนกรกฎาคม โดยการเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมดมาจากยอดนำเข้าของสหรัฐฯ หากไม่นับผลกระทบจากสหรัฐฯ การส่งออกนาฬิกาสวิสทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง 0.9% สะท้อนถึงปัญหาที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญมาตลอดทั้งปี และเด่นชัดขึ้นในเดือนสิงหาคม เมื่อตัวเลขการส่งออกนาฬิกาสวิสลดลงถึง 16.4% แตะที่ 1.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนมียอดส่งออกลดลงมากที่สุดที่ 35.6% ตามมาด้วยเยอรมนีลดลงเกือบ 25% ฝรั่งเศสลดลง 9.7 % ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลดลง 8.7% สถานการณ์นี้สะท้อนถึงอุปสงค์ที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องในเอเชียและยุโรป

 

ขณะที่ตลาดนาฬิกาใหม่ได้รับผลกระทบ ตลาดนาฬิกามือสองกลับเติบโตอย่างร้อนแรงสวนทางกัน ข้อมูลจาก EveryWatch ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ตลาดนาฬิกามือสองเปิดเผยว่า มูลค่าธุรกรรมรวมของตลาดนาฬิกามือสองพุ่งขึ้นกว่า 30.6% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการเติบโตที่น่าจับตาหลังจากตลาดซบเซาลงตั้งแต่ปี 2022

 

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดมือสองมาจากราคานาฬิกาใหม่ที่สูงขึ้นจากภาษีและต้นทุน ทำให้ลูกค้าจำนวนไม่น้อยหันไปมองหานาฬิกาหรูมือสองซึ่งมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าและมีสภาพดี อีกทั้งยังมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งโดยราคาเฉลี่ยของนาฬิกาแบรนด์ใหญ่ Big Three ทั้ง Rolex, Patek Philippe, Audemars Piguet ลดลง ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้กลุ่มนาฬิการาคาต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์ ยังมีอัตราการหมุนเวียน (turnover rate) สูงสุดเกือบ 25% แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดนาฬิการะดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง

 

สถิติที่น่าสนใจของตลาดนาฬิกาหรูมือสองในช่วงนี้คือ Rolex ยังคงเป็นผู้นำตลาดมือสองอย่างชัดเจน โดยครองส่วนแบ่งยอดขายตามมูลค่าสูงถึง 29.85% ในเดือนมิถุนายน และมีระยะเวลาเฉลี่ยในการขายเพียง 40 วัน ตามมาด้วย Patek Philippe โดยมีอัตราการหมุนเวียนอยู่ที่ 19% และระยะเวลาเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ 62 วัน Audemars Piguet 19% เช่นกัน แต่ระยะเวลาขายนานกว่าที่ 83 วัน ขณะที่แบรนด์ผู้ผลิตอิสระอย่าง F.P. Journe ก็กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดมือสองมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 43% ในเดือนมิถุนายน โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดมือสองอย่างชัดเจน โดยมีอัตราการซื้อขายสูงถึง 61.11% ในเดือนมิถุนายน เทียบกับ 11.11% ในยุโรป

 

ส่วนในไทยแม้จะไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจงแต่แนวโน้มระดับโลกที่เกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบถึงตลาดในประเทศไทยด้วยเช่นกัน จากราคาที่อาจปรับสูงขึ้นและ เมื่อนาฬิกาใหม่มีราคาสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจหันไปหาตลาดมือสองมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของตลาดมือสองทั่วโลกนักลงทุนในประเทศไทยที่สะสมนาฬิกาอาจต้องเผชิญกับความผันผวนของราคา โดยเฉพาะรุ่นยอดนิยมที่ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก

 

โดยสรุปแล้ว แม้มาตรการภาษีจะสร้างความท้าทายให้กับอุตสาหกรรมนาฬิกาใหม่ แต่ก็กลับเป็นตัวเร่งให้ตลาดนาฬิกามือสองเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับนักสะสมและนักลงทุนในประเทศไทย การติดตามสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการลงทุนในอนาคต

 

ภาพ: Afshin Kabbi/Shutterstock

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising