สำหรับความคืบหน้าคดีล่าหมีขอของกลุ่มปลัดอำเภอ ล่าสุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคดีดังกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีช่วงบ่ายที่ผ่านมาว่า การที่ นายวัชรชัย สมีรักษ์ ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย กับพรรคพวกรวม 11 คน ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติไทรโยคและหน่วยปฏิบัติการพิเศษชุดพญาเสือเข้าจับกุม
เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ปลัดอำเภอออกจากราชการไว้ก่อนตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อทำการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมโดยจะไม่มีการละเว้นใครทั้งสิ้น พร้อมกล่าวแสดงความรู้สึกสงสารต่อสัตว์ที่ถูกฆ่าและตำหนิต่อการกระทำ โดยเฉพาะผู้ที่ถือตัวเป็นข้าราชการ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ด้านพลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ลงพื้นที่รับผิดชอบคดีนี้ด้วยตนเองเผยว่า คดีนี้ทางพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค ได้รับคําร้องทุกข์ไว้ตามรูปแบบของคดีอาญา หลังการจับกุมแก๊งล่าหมีขอฐานร่วมกันล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองซึ่งมิได้เป็นการกระทําโดยทางราชการ โดยมีความผิดรวม 11 ข้อหาดังนี้
1. ร่วมกันเก็บหานําออกไปทําด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทําให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ ยางไม้ น้ำมันยาง น้ำมันสน แร่ หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ
2. ร่วมกันนําสัตว์ออกไปหรือทําด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์
3. ร่วมกันนําเข้ายานพาหนะเข้าออกหรือขับขี่ยานพาหนะในทางที่มิได้จัดไว้เพื่อการนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่
4. ร่วมกันนําเครื่องมือสําหรับล่าสัตว์ หรือจับสัตว์ หรืออาวุธอื่นใดเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
5. ร่วมกันล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองซึ่งมิได้เป็นการกระทําโดยทางราชการที่ได้รับการยกเว้นฯ
6. ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากของสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต
7. ร่วมกันซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทําความผิด
8. ร่วมกันเก็บหาของป่าหรือกระทําด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ
9. ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
10. ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
11. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่มีเหตุเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์
นอกจากนี้พลตำรวจเอก ศรีวราห์ ได้เปิดเผยอีกว่าจากการสืบสวนสอบสวนขยายผลพบว่า นางสาวศรีวิจิตร และนายทัศดนัย ผู้ร่วมคณะ ต่างพกพาอาวุธปืนเข้าไปในที่เกิดเหตุ โดยผู้ต้องหาได้ซุกซ่อนอาวุธปืนไว้ในรถยนต์กระบะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้น แต่ไม่พบอาวุธปืนดังกล่าว แต่เมื่อผู้ต้องหาถูกนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค ได้ให้ เด็กชายเอ (นามสมมติ) ซึ่งเข้ามาเยี่ยมผู้ต้องหานำอาวุธปืนดังกล่าวกลับไปไว้ที่บ้านพัก จึงแจ้งข้อกล่าวหากับเด็กชายเอ (นามสมมติ) ว่ามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่มีเหตุเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์
โดยพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค ได้รับคําร้องทุกข์ไว้ตามคดีอาญาที่ 374/2561 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 พร้อมยึดหลักฐานเป็นอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และขนาด 11 มม. จำนวน 1 กระบอก ไว้เป็นของกลางในคดีเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยเบื้องต้นต้องเรียกมาสอบสวนก่อน ถ้าพบว่ามีส่วนรู้เห็นหรือจงใจในการร่วมกันกระทำความผิดหรือไม่ หากกระทำโดยเจตนาก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน
ขณะเดียวกัน พลตำรวจเอก ศรีวราห์ กล่าวเพิ่มว่าคดีดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับคดีเสือดำ ซึ่งการสืบสวนและสอบสวนก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก โดยตอนนี้กลุ่มผู้ต้องหาได้ปฏิเสธข้อหาต่างๆ แต่ถ้าหลักฐานที่พบสาวถึงใครก็ต้องจัดการดำเนินคดีทั้งหมด
นอกจากนี้มีรายงานเพิ่มว่าตำรวจกำลังตามตัวผู้ต้องหาอีก 3 คนเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีในฐานความผิดเดียวกัน เนื่องจากแนวทางการสืบสวนเบื้องต้นพบว่านอกเหนือจากที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ 11 คน ทั้ง 3 คนนี้เข้าข่ายการมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: