นับตั้งแต่ออกจากการเป็นสมาชิกวงไอดอลชื่อดังอย่าง BNK48 ในช่วงปลายปี 2022 มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์ ได้สลัดลุค ‘มิวสิค BNK48’ ก้าวออกนอกกรอบมาใช้ชีวิตในฐานะ ‘มิวสิค แพรวา’ อย่างเต็มตัว
ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มิวสิคออกผจญภัยสู่โลกกว้างผ่านการตัดสินใจของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ เรามีโอกาสได้เห็นเธอปรากฏตัวตามหน้าสื่อพร้อมกับผลงานการแสดง รวมถึงงานพากย์เสียง หนึ่งในสิ่งที่เธอยกให้เป็นความฝันและหมายมั่นอยากลงมือทำด้วยตัวเองมาตลอด
มาวันนี้ THE STANDARD POP ได้มีโอกาสโคจรกลับมานั่งพูดคุยกับเธออีกครั้งในรอบ 1 ปีกับอีก 3 เดือน ที่นอกจากจะได้คุยกันถึงผลงานซีรีส์เรื่องใหม่ ‘หมอตลอดกาล’ ยังได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบในฐานะพี่ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้พบกับน้องสาวมาเนิ่นนาน ซึ่งทำให้เราอยากรู้ว่า ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมานั้นเธอเป็นอย่างไรบ้าง
และเราคิดว่าคุณผู้อ่านก็น่าจะอยากรู้เหมือนกันว่า ชีวิตในวันที่เติบโตย่างเข้าสู่วัย 23 ปีของมิวสิค ณ วันนี้เป็นอย่างไร เราไปพูดคุยกับเธอพร้อมกันเลย
Hi! ไม่เจอกันนานเลย เล่าให้ฟังหน่อย 1 ปีที่ออกมาผจญภัย ไปพบเจออะไรมาบ้าง
พบเจอเหรอ? ก่อนหน้านี้ตอนสิคอยู่ที่วง BNK48 ก็ได้มีโอกาสพบเจออะไรมาหลายอย่างเหมือนกัน แต่รอบนี้มันมีความแตกต่างตรงที่เราได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว ได้มาค้นพบอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง มีสิ่งที่เราได้ลองตัดสินใจที่จะเลือกด้วยตัวเอง ก็ได้พบเจอรสชาติของการใช้ชีวิตหลากหลายมาก
มีโอกาสรับงานแสดงมากขึ้น แล้วก็ได้มีโอกาสลองสวมบทบาทเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา มันก็สนุกดี แต่ว่ากลับกัน สิคก็รู้สึกเหมือนว่า เราใช้เวลาทุ่มเทอยู่กับการแสดงจนเราแทบไม่มีเวลาให้ตัวเอง แบบตื่นมาวันหนึ่งเราเป็นคนหนึ่ง ตื่นมาอีกวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นอีกคนหนึ่งเลย จนกลายเป็นว่าไม่มีเวลาให้กับตัวเองสักเท่าไร พอมาปีนี้ก็เลยตัดสินใจใหม่ว่า เดี๋ยวเราจะใช้ชีวิตเป็นตัวเราเองมากขึ้นในปีนี้
ยกตัวอย่างเรื่องที่ได้ลองตัดสินใจด้วยตัวเอง
ปีที่แล้วสิคได้ลองไปทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นเล่น ‘ไอคิโด’ ก็คือศิลปะการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่น ได้กลับมาคอสเพลย์ เพราะว่าก่อนหน้านี้เราจะไม่ค่อยมีเวลาทำอะไรแบบนี้เลย แล้วก็ยังได้เริ่มเรียนตัดชุด
ก่อนหน้านี้ในหัวเรามักจะมีความรู้สึกว่า ตัวเราทำอะไรได้บ้างไหม หรือมันอาจเป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเองมากกว่า เราเลยใช้ชีวิตเดินตามแบบแผนที่แบบคนอื่นเขาวาดให้ แต่พอได้มีเวลากลับมาอยู่กับตัวเอง ได้มีเวลาเลือกทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ เหมือนเราได้เปิดประตูไปเจอคำว่า ความสุขมันหาง่ายกว่าที่เราคิดเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่ได้มีโอกาสถามตัวเองว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราเคยลองทำแล้วเราชอบมันไหม นับว่าเป็นการได้เลือกเพื่อตัวเองแบบแท้จริง
ที่บอกว่า “อยากใช้ชีวิตเป็นตัวเราเอง” เล่าให้ฟังหน่อยว่า ตัวเราในอุดมคติของเราเป็นแบบไหน
สิคเป็นคนไม่ค่อยตั้งเป้าหมายในชีวิตสักเท่าไร เพราะว่าชีวิตเราแค่มองหาคำว่า ‘ความสุข’ ในแบบของตัวเองแค่นั้น มันก็อาจเพียงพอแล้ว อาจเป็นแค่การตื่นมาได้เล่นเกม แค่นั้นก็ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตในแบบของสิคในตอนนี้ ในอนาคตเราอาจได้เจอแบบอื่นที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่แหละคือตัวของเรามากขึ้น แต่ไม่รีบ จะค่อยๆ ปล่อยให้เราได้ค้นหาตัวเองในแต่ละปี
สิ่งที่มิวสิคกำลังมองหาในตอนนี้คืออะไร
ก่อนหน้านี้ (สมัยอยู่ BNK48) มีช่วงเวลาที่ได้เจอกับแฟนคลับบ่อยๆ แต่ในปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยออนโซเชียล แล้วมันก็ไม่มีงานอะไรที่ทำให้ได้พบเจอกับแฟนคลับเลย ก็เลยทำให้รู้สึกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมามีคนที่ใจดีกับเรา รักและซัพพอร์ตเรามาโดยตลอด แต่ในปีนี้เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรตอบแทนเขาเลย
อยากทำอะไรสักอย่างที่เป็นการเติมเต็มให้เขาคืนไปบ้าง โดยที่เขาไม่ต้องให้คืนมา เพราะการได้รักหรือได้ชอบใครสักคนมันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ แต่เราแค่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันมีวิธีไหนไหมที่เราจะได้คุยกับเขาแบบไม่ใช่แค่กลุ่มๆ แต่เราได้คุยกับเราแบบเจาะจงทีละคนเลย แล้วเขาก็ไม่ต้องเสียเงินซัพพอร์ตเรา แค่กำลังมองหาวิธีที่ทำแล้วคนที่เขารักเราได้รับการซัพพอร์ตจากเรากลับไปแบบเต็มที่บ้าง
นิยามความสุขของมิวสิคในวัย 22 ย่างเข้า 23 คืออะไร
ความหมายของสิค คือการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่นและตัวเอง
สิคว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมสักเท่าไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว สังคมเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่างไม่น่าเชื่อ การที่เราใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น มันก็มีบ้างที่เรามักจะได้รับคอมเมนต์ด้านลบมาบ่อยๆ แล้วเราก็มักจะตั้งคำถามว่า ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
อย่างเช่นเราออกมาจากวงก็โดนตั้งคำถามว่า ทำไมสิคไม่ค่อยมีงาน แล้วก็มีคำพูดติดปลายนวมมาว่าออกมาแล้วก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร
แต่ในทางกลับกัน สิครู้สึกว่าโอเค การพยายามหาคำตอบในการกระทำของเขา มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด เราแค่ต้องยอมรับว่าบนโลกนี้มันไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราแค่เข้าใจเขาก็พอ ไม่ต้องหาคำตอบให้กับตัวเราเองหรือว่าเขา แต่เราแค่เข้าใจว่าขนาดเขาก็มีส่วนที่อาจไม่สมบูรณ์แบบ รวมถึงตัวเราเองก็เช่นกัน พอเราได้ตกผลึกกับตัวเอง เชื่อไหมว่ามันทำให้สิครับมือกับความทุกข์ตรงนี้ได้ง่ายขึ้นค่ะ นี่อาจเป็นนิยามความสุขตอนนี้ของสิค
อีกอย่างเราเป็นคนตอบโต้คอมเมนต์ด้านลบไม่ค่อยเก่ง เรื่องนี้แฟนเราก็สอนว่าให้เราวาดวงกลมเอาไว้แล้วให้เราเลือกว่าใครควรอยู่ในวงไหน แล้วเขาก็สะท้อนให้เห็นว่า คนนั้นคนนี้ควรอยู่ในวงไหนของเรา เราจะได้จัดความสัมพันธ์ถูกว่าเราควรให้ใจกับเขาไปมากแค่ไหน กับคนที่เขาใจร้ายกับเรา
เมื่อพูดคุยกันถึงตรงนี้ เราเกิดความรู้สึกว่า มิวสิคในวันนี้มีการเติบโตขึ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะการมองบริบทของสังคม หรือการใช้ชีวิตที่รู้สึกว่าเธอได้มองเห็นและเข้าใจโลกในระดับหนึ่ง
คิดว่าโลกเนี่ยเราน่าจะไม่มีวันเข้าใจหรอก (หัวเราะ) เพราะโลกมันหมุนไปไวมากเลยเนาะ เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ปีนี้กับปีที่แล้วต่างกันขนาดไหนมันเห็นได้ค่อนข้างชัด ก็อาจไม่ต้องพยายามวิ่งตามโลกและปล่อยมันหมุนไป แล้วเราค่อยทำตัวตรงกันข้ามกับโลกดีกว่า รู้สึกว่าเราช้าบ้างก็ดี ท่ามกลางโลกที่หมุนไปไวแบบนี้
1 ปีที่ผ่านมา เราเติมเต็มอะไรให้ชีวิตบ้าง เพราะหลายครั้งมิวสิคบอกว่า การใช้ชีวิตในฐานะไอดอลตลอด 5-6 ปีนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องแลกไปเสมอ
ทุกการใช้ชีวิตทุกช่วงเวลามันไม่มีอะไรไปทดแทนกันได้อยู่แล้ว สิ่งที่เราได้รับหลังออกจากวงมามันไม่ใช่การออกมาหาสิ่งที่ขาดหายไปกลับมา แต่มันคือการที่เราได้ทำสิ่งใหม่ๆ ที่ต่อเติมจากสิ่งเก่าที่เรามีประมาณนั้นมากกว่า ถามว่ามันสนุกไหมมันสนุกแหละ เพราะว่าเราพยายามหาความสนุกในแต่ละช่วงชีวิตของเราอยู่เสมอ มันอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น แต่ว่าสำหรับเรา รู้สึกว่าโอเค นี่คือชีวิตที่ฉันพอใจที่จะมี
วิธีหาตัวตนและทำความเข้าใจแบบฉบับของมิวสิค
ถ้าเราลองตั้งบทสัมภาษณ์ให้กับตัวเองแล้วลองตอบ สิคถือว่าก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเหมือนกันนะ เพราะว่าคนเรามักจะมีเวลาให้กับสิ่งรอบข้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเองสักเท่าไร เพราะอย่างนั้นการให้สัมภาษณ์ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น การได้รู้จักตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะว่าเราเกิดมาพร้อมกับร่างกายนี้ แล้วเราก็จะจากโลกนี้ไปพร้อมเขา ดังนั้นเราต้องรักตัวเองให้มากๆ เข้าใจตัวเองมากๆ
ย้อนกลับไปในรายการ On That Day EP.19 มิวสิคเคยบอกไว้ว่าอยากใช้เวลาในช่วงของการท่องโลกกว้างไปกับการฝึกฝนตัวเอง กับอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่ง 2 สิ่งที่เรามองว่ามันได้เข้ามาเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักหรือเป็นงานของมิวสิคที่เราได้เห็นผ่านหน้าสื่อคือ ‘งานพากย์เสียง’ และ ‘งานแสดง’
เริ่มที่งานพากย์เสียง ซึ่งใครที่ได้ติดตามมิวสิคมานานจะพอทราบว่า งานพากย์คือหนึ่งในความฝันที่เธอเฝ้ารอโอกาสที่จะได้ลงมือทำมัน และขวบปีที่ผ่านมา มิวสิคได้รับโอกาสเหล่านั้นบ้างแล้ว เราจึงไม่รอช้าที่จะถามไถ่ถึงความรู้สึกหลังได้ทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง
เมื่อก่อนเราเป็นเด็กที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เรารู้สึกว่าเราเก่งมากถ้าเราได้รับโอกาสนี้ แต่ปรากฏว่าพอได้มาลองทำจริงๆ แล้วมันยากมากเลย! มันทำให้เรารู้สึกว่าอาจเป็นสิ่งที่สนุกก็จริง แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ แต่ไม่ได้ทำให้เราหมดกำลังใจนะ มองในแง่ดีก็อาจได้รู้ว่าเรายังมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องฝึกฝนอีกเยอะมาก และอย่างน้อยเราก็ได้รู้จักตัวเองแล้วว่า จริงๆ แล้วอันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำมันแล้ว
สมมติเต็ม 10 ให้ 6 เกินครึ่งมานิดหนึ่ง อาจไม่ได้แย่ แต่เราก็ได้รับโอกาสใหญ่ค่อนข้างกะทันหันด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Suzume หรือว่า โดราเอมอน มันเป็นโอกาสใหญ่ที่รู้สึกกดดันมาก แต่พอได้พี่ๆ เบื้องหลัง ทีมงานที่ดีที่เขาคอยซัพพอร์ต ก็ช่วยให้เราผ่านมันมาได้
ถ้าถามความรู้สึกตัวเองว่าในวันนั้นเราเก่งแล้วหรือยัง ก็ต้องบอกว่ายังเก่งไม่พอสำหรับโอกาสที่ได้รับ แต่เราก็ไม่อยากทิ้งความรักของเรา เพียงเพราะว่าเราทำได้ไม่ดีพอ
ถัดมาคือพาร์ตงานแสดง ซึ่งในส่วนนี้เมื่อมีการสืบค้นข้อมูลจะพบว่า มิวสิคคือหนึ่งในนักแสดงวัยรุ่นที่มีงานแสดงออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามอยู่เสมอ เราจึงถือโอกาสนี้ถามมิวสิคอย่างตรงไปตรงมาว่า เคยคิดมาก่อนไหมว่า ตัวเองคือคนที่เหมาะกับงานแสดง จึงได้รับโอกาสให้โชว์ฝีมือทางการแสดงแบบไม่ขาดมือ
เคยตั้งคำถามหนักมากๆ ค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าการแสดงมันไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจว่าจะได้มาเจอ เหมือนเราเข้ามา (ในวง BNK48) เราก็มาเต้นมาร้อง แต่วันดีคืนดีมีผู้ใหญ่ชวนมาแสดงหนัง ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าการแสดงจะพาเรามาได้ไกลขนาดนี้ มันก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราทำได้ดี เราก็เลยเลือกที่จะทำต่อมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้
งานแสดงให้อะไรกับมิวสิค
สิ่งที่ได้รับมันเยอะกว่าที่คิดมากๆ เลยค่ะ ด้วยความที่สิคอาจไม่เข้าใจตัวเอง หรือว่าไม่ค่อยชอบตัวเองสักเท่าไร สำหรับสิคการแสดงมันทำให้เราได้มีโอกาสจะเป็นคนอื่น มันพาให้เราได้มีโอกาสไปรู้พื้นหลังของตัวละครที่เราแสดง ทำให้เราได้มีโอกาสไปทำความรู้จักคนคนหนึ่งแบบลึกซึ้ง มันพาให้เรามีโอกาสทำความรู้จักอีกบุคลิกของผู้คน ลักษณะนิสัยอีกแบบที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถมีได้ งานแสดงมันทำให้ได้เข้าใจความรู้สึกของคนเรามากขึ้นด้วย
ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบตัวเอง
อาจเป็นเพราะว่าสิคเป็นคนที่ชอบตามหาสิ่งที่เป็นตัวตนของเราอยู่เสมอ มันเลยได้ค้นพบว่าเราไม่สมบูรณ์แบบขนาดไหน มันมีหลายๆ สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นความคิดเชิงลบติดในหัวบ่อยๆ แล้วพยายามแก้ด้วยการเป็นคนที่มองในแง่ดี
แต่ด้วยพื้นฐานตัวเราเองเป็นคนที่คิดจุกจิก บางทีมันอาจไม่ใช่ด้านลบหรอก แต่แค่มันเป็นท็อปปิกที่เวลาเราได้ไปคุยกับคนอื่นแล้ว เขาจะรู้สึกว่าเราพูดอะไรออกมา เราคุยด้วยยาก มันเลยทำให้เรามีหลายๆ สิ่งที่รู้สึกว่า ถ้าเราพูดเก่งกว่านี้เราจะดีขึ้นไหม เราจะมีเพื่อนเยอะกว่านี้ไหม เราควรใช้เวลากับคนอื่นมากกว่านี้ไหม เหมือนพยายามสร้างความเป็นไปได้ที่เราสามารถเป็นคนที่ดีขึ้น
ขยายความสั้นๆ ก็คือเราไม่ค่อยชอบตัวเองที่เป็นแบบนั้นเท่าไร เพราะว่าเราก็อยากจะมีความสุขในแบบที่เราเป็นใช่ไหมคะ แต่พอได้มาเป็นคนอื่น (สวมบทบาทการแสดง) มันเหมือนเราหลบหนีจากความรู้สึกตรงนั้น เพราะว่าเราได้มาเป็นใครสักคนที่ไม่ได้มีความรู้สึกเหล่านั้นอยู่ในหัว
และเมื่อคุยมาถึงพาร์ตงานแสดงก็ต้องพูดถึงผลงานซีรีส์เรื่องใหม่อย่าง หมอตลอดกาล ซีรีส์ที่ผลิตโดย ทีวี ธันเดอร์ หนึ่งในซีรีส์ที่ออนแอร์เพียงไม่กี่ตอนก็ได้รับคำชมว่าตีแผ่วงการแพทย์ของไทยออกมาได้น่าสนใจ รวมถึงฉากทางการแพทย์ที่ปรากฏในเรื่องนั้นมีขั้นตอนที่ค่อนข้างถูกต้องและสมจริง ซึ่งทางมิวสิคได้รับบทเป็น ‘หมอฝน’ หนึ่งในบทบาทที่เธอยอมรับว่าท้าทายฝีมือการแสดงของเธออยู่ไม่น้อย
บทหมอฝนอาจจะมีคนเห็นแวว (หัวเราะ) ที่ผ่านมาสิคมักจะได้รับบทที่มีคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างโผงผาง เป็นคนแบบห้าวๆ แต่บทหมอฝนเป็นบทแรกที่มีบุคลิกเป็นคนสุภาพเรียบร้อย เป็นคุณหมอที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งเหตุผลลึกๆ ในใจที่สิคตอบรับบทนี้ เป็นเพราะว่ามันเป็นบทของหมอเท่านั้นเลย
เพราะสำหรับสิค ในหนึ่งชีวิตเราอาจจะเลือกทำได้แค่หนึ่งอย่าง เราอยากเป็นตากล้อง เราก็เป็นตากล้องไปเลย แต่ว่านักแสดงมันเป็นอาชีพที่ทำให้เราได้มีโอกาสเลือกสวมบทบาทเป็นอะไรได้หลายอย่าง แล้วคำว่า ‘หมอ’ เนี่ย มันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าตัวจริงของฉันคือคนที่เรียนไม่เก่ง แต่ฉันเป็นหมอได้ด้วยการแสดง เราก็เลยอยากจะเข้าไปในโลกของหมอ เพราะเราอยากรู้ว่าในโลกของหมอนั้นมีสิ่งไหนที่เขารู้แล้วเราไม่รู้ แล้วเราสามารถแสดงออกมาได้หรือเปล่า
เตรียมตัวก่อนรับบทหมอฝนนานแค่ไหน
น่าจะประมาณ 3 เดือน ด้วยความที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ที่ค่อนข้างเข้มข้นมาก อย่างเราเป็นหมออินเทิร์นและนักแสดงคนอื่นก็เป็นหมอศัลยแพทย์ หมอนิติเวช หมอในหลายแผนกมากมาย แต่ละคนก็จะมีแนวทางการเวิร์กช็อปที่ไม่เหมือนกัน อย่าง พี่โทนี่ รากแก่น ก็จะไปเรียนรู้วิธีการผ่าตัดหัวใจแบบจริงๆ อย่าง พี่เฌอเบลล์ ลัลณ์ลลิน เป็นหมอนิติเวช เขาก็ไปดูการผ่าศพจริงๆ
ส่วนของสิคจะเวิร์กช็อปขั้นพื้นฐาน รวมสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้กับบทบาทของการเป็นหมอ เช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้น, การเย็บแผล, การฉีดยาต่างๆ ซึ่งมันไม่ใช่แค่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องทำอย่างไร แต่มีการลงรายละเอียดลึกลงไปมากกว่านั้น คือการต้องรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นทำไปเพราะอะไร สำหรับสิคถือว่าเป็นเรื่องดีที่ได้เรียนรู้รับประสบการณ์ใหม่ๆ
อะไรคืออุปสรรคในการบทหมอฝน
อุปสรรคหลักๆ คือเรื่องของการจดจำศัพท์ทางการแพทย์ที่เต็มไปด้วยตัวย่อเยอะๆ ซึ่งคนที่เป็นหมอจริงๆ เขาพูดกันจนคล่องปาก แต่กลับกันเราในฐานะนักแสดงที่มาสวมบทบาทมันยากอยู่นะ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าศัพท์ที่พูดออกมาคืออะไร ในส่วนนี้สิคก็ต้องทำการบ้านด้วยการถามหมอว่า คำที่เราจะพูดมันแปลว่าอะไร แล้วทำไมเขาถึงเลือกพูดในสถานการณ์นี้ คนไข้ต้องมีอาการแบบไหนมาเราถึงต้องใช้คำพูดนี้ได้ เพราะคำพูดเหล่านี้มันไม่ใช่คำที่อยู่ๆ จะพูดออกมา มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริงๆ
ลองเปรียบเทียบชีวิตมิวสิคกับหมอฝน 2 คนนี้มีอะไรที่เหมือนกัน
คิดว่าเป็นคนที่มีความไม่มั่นใจเหมือนกัน ด้วยความที่เป็นคนที่พูดไม่เก่ง แต่จะชอบฟังมากกว่า แล้วก็เป็นคนที่ค่อนข้างหูเบาด้วย บางครั้งเราเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก อะไรคือสิ่งที่ผิด เช่นเดียวกับหมอฝนที่เป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน
วิธีการรับมือความไม่มั่นใจในตัวเองของมิวสิค
ทุกวันนี้เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไร (หัวเราะ) ยังแก้ไขไม่ได้ด้วย แล้วก็เป็นคนที่ค่อนข้างกลัวการใช้โซเชียลด้วย ไม่ใช่ว่าเราไม่เล่นโซเชียลนะ แต่เราเล่นเพื่อที่จะอ่านมากกว่าเพื่อที่จะพิมพ์อะไรสักอย่าง
โซเชียลเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่ากลัวนิดหนึ่ง ยกตัวอย่างบางคนโพสต์อะไรสักอย่างไปนานมากๆ แล้ว แต่วันหนึ่งมันถูกขุดขึ้นมา หรือมีคนไปเจอแล้วหยิบขึ้นมาพูดถึง หรือย้อนกลับมาโจมตี มันทำให้คนคนหนึ่งสูญเสียอะไรหลายๆ อย่างได้เลย โดยเฉพาะความมั่นใจ อันนี้เป็นสิ่งที่ใหญ่มาก
ตอนนี้สิคเลยไม่กล้าเล่นโซเชียล ใช้คำว่าความกลัวได้เลย ขนาดทุกวันนี้จะพิมพ์อะไรยังคิดหนักมากๆ แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยการไม่อยากโพสต์อะไร มันก็เป็นความไม่มั่นใจอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หาย แล้วก็อาจไม่อยากแก้ด้วยซ้ำ เราอาจสบายใจที่ไม่ได้โพสต์หรือไม่ได้พิมพ์อะไรแบบนี้ต่อไป
เราไม่ค่อยได้มีโอกาสบอกแฟนคลับเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าแฟนคลับอยากจะเห็นเราโพสต์อะไรสักหน่อย หรือออนโซเชียลให้มากขึ้น แต่เราก็ไม่เคยทำได้เลย โซเชียลสำหรับเรามันยังคงเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน ขนาดให้สัมภาษณ์เรายังแอบกลัวเลยว่าจะเผลอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
บทบาทหมอฝนพามิวสิคไปเรียนรู้อะไรบ้าง
บทหมอฝนพาให้สิคได้ไปเรียนรู้ว่าชีวิตคนเรามันสั้นกว่าที่คิดเอาไว้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก วันหนึ่งคนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ปกติ แต่เกิดอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวเขาก็อาจหายไปจากโลกนี้ได้เลย มันเป็นสิ่งที่น่าใจหายมาก
และส่วนตัวสิคเป็นคนที่รับการสูญเสียไม่ค่อยได้ เป็นคนที่เป๋มากเวลามีคนรู้จักหรือคนใกล้ตัวเสียชีวิต อย่างตอนที่แฟนคลับของเราเสีย เราร้องไห้หนักมาก แล้วก็เสียศูนย์ไปนานมาก เพราะทุกครั้งที่มีงานจับมือเขาก็จะมาเจอเราเสมอ แล้ววันหนึ่งเขาไม่อยู่แล้ว แล้วเรารู้ว่าในแถวจะไม่มีเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว สำหรับเรามันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ดังนั้นการรับบทหมอฝนเลยเป็นหนึ่งในสิ่งที่ย้ำเตือนกับสิคว่าชีวิตคนเรามันสั้น ดังนั้นหนึ่งชีวิตเกิดมาก็อยากจะเป็นคนที่มีความสุขมากๆ
ถ้าสมมติว่ามิวสิคได้เจอหมอฝน มิวสิคอยากจะบอกอะไรกับเขา
น่าจะอยากบอกกับเขาว่าดีแล้วที่หาตัวตนของตัวเองเจอ แค่นั้นเลย
บทบาทอื่นๆ ที่มิวสิคมองหาในอนาคต?
อยากลองแสดงหนังบู๊ อยากลองแสดงภาพยนตร์-ซีรีส์แอ็กชันมาก แต่ขอไปฝึกเรื่องของความแข็งแรงมาก่อน เพราะถ้าเราดูไม่แข็งแรงเขาไม่น่าจะรับเรา (หัวเราะ)
จริงๆ หนังที่ชอบเป็นแนวแอ็กชันโรแมนติก แต่ลึกๆ ไม่ค่อยชอบหนังรักโรแมนซ์ ถ้าเป็นหนังบู๊จะชอบพวก Marvel ประมาณนั้น หรือไปสุดตัวก็ John Wick ไปเลย ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนังบู๊มาก อธิบายยากเลยว่าชอบแบบไหน
ครั้งหนึ่งมิวสิคเคยเปรยว่า หากมีโอกาส อยากลองพิจารณารับงานแสดงแนว Girl’s Love
เคยดูซีรีส์เรื่อง Heartstopper คือซีรีส์ที่ดีมากๆ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ในแง่ที่พูดถึงความสัมพันธ์ความรักระหว่างเพศเดียวกัน รวมไปถึงคนรอบข้าง รู้สึกว่ามันให้อะไรเยอะมากๆ แล้วเป็นเรื่องราวที่กำลังดี เราเลยรู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสได้รับบทบาทแสดงในไทย ได้แสดงความรักที่เป็นรูปแบบนี้ในไทย ผู้คนจะเข้าใจเรามากขึ้นไหม เพราะด้วยความที่เรามีความเป็น Pansexual ก็เลยคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าเกิดว่าไม่ได้แสดงก็อยากเขียนขึ้นมาเอง เขียนแบบแต่งเป็นนิยายทำนองนั้น ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราคิดจะทำอยู่ ไม่ใช่แค่เรื่องการแสดง แต่อาจเป็นคนเขียนด้วย
เป้าหมายในชีวิตที่อยากทำในวันที่ชีวิตใกล้ก้าวเข้าสู่วัย 23 ปี
ข้อเสียของเราคือเป็นคนที่อยากทำแต่ไม่ลงมือทำ จริงๆ สิคเป็นคนที่ไม่ค่อยอินกับวันเกิด ไม่ชอบการฉลองวันเกิดหรือการฉลองวันปีใหม่ ที่มันดูเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ เพราะเราค่อนข้างเชื่อว่านี่มันคือเส้นชีวิตเดิม เราจะทำหรือไม่ทำ เราจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน มันไม่ได้อยู่ที่ปี แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะลงมือทำมันเมื่อไร
เพราะฉะนั้นสำหรับสิคในปีนี้ที่กำลังจะเข้าสู่วัย 23 ปี ก็ยังเป็นมิวสิคที่ไม่แพลนเป้าหมายเหมือนเดิม (หัวเราะ) อาจอยากทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ให้ดีก่อน อย่างการคอสเพลย์ที่เราอยากจะหันมาเป็นคนตัดชุดเองบ้าง หรืออยากเรียนภาษาญี่ปุ่นให้เก่งขึ้น คิดว่าอยากจะใช้เวลาเสริมในสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ให้ดีขึ้นมากกว่า
เมื่อคุยถึงตรงนี้เราสัมผัสได้ว่านี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แววตาของมิวสิคได้เปลี่ยนไปอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับเรา แต่นั่นคือแววตาแห่งการเติบโต แววตาของหญิงสาวผู้มีความเข้าใจโลกในแบบของเธอ เข้าใจตัวตน เข้าใจว่าความสุขในชีวิตของเธอนั้นหาง่าย เพียงรู้จักปล่อยวางและกล้ายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง
สุดท้ายอยากจะขอฝากซีรีส์ หมอตลอดกาล ออกอากาศทางช่อง Thai PBS ซีรีส์เรื่องนี้เป็นชิ้นงานที่นักแสดงทุกคนและบุคลากรการแพทย์ทุกคนมีความตั้งใจสร้างสรรค์อย่างที่สุด อยากฝากทุกคนเอาไว้ ตอนนี้ออนแอร์มาได้ครึ่งทางแล้ว หรือใครที่อยากดูสามารถเข้ามาชมย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ vipa.me หรือรับชมแบบสดๆ ได้ทางช่อง Thai PBS กดหมายเลข 3 ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เวลา 20.30-21.30 น.
ตัวอย่างซีรีส์ หมอตลอดกาล