เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้ชมว่า ความตื่นเต้นหรือสนุกสนานมักไม่ใช่องค์ประกอบเพียงสองอย่างเท่านั้นที่จะได้รับจากการชมแอนิเมชันของค่าย Pixar แต่ต้องรวมถึงภาพสวยๆ สตอรีล้ำๆ และแง่คิดโดนๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างครบครันใน Wall-E อีกหนึ่งแอนิเมชันที่หลายเสียงต่างยกย่องให้คู่ควรกับคำว่าคลาสสิกตลอดกาล ไม่ว่าจะด้วยงานภาพที่สวยโดดเด่น หรือเนื้อหาที่นอกจากจะตื่นเต้นเร้าใจแล้ว ยังแฝงไปด้วยการวิพากษ์ประเด็นทางสังคมที่ทันยุคทันสมัย
Wall-E เข้าฉายในสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2008 โดยได้ แอนดรูว์ สแตนตัน ผู้เคยฝากผลงานสุดประทับใจอย่าง Finding Nemo เอาไว้เมื่อปี 2003 มารับหน้าที่ผู้กำกับ และยังควบตำแหน่งเขียนบทร่วมกับ จิม แรดอน ให้เสียงพากย์โดย เบน เบิร์ท, เอลิซา ไนต์, เจฟ การ์ลิน, เฟรด วิลลาด, จอห์น ราทเซนเบอร์เกอร์, แคธี นาจิมี และซิกอร์นีย์ วีเวอร์
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ Wall-E หุ่นยนต์สนิมเขรอะ ที่มีหน้าที่เก็บกวาดขยะบนโลกซึ่งถูกมนุษย์ทิ้งร้างให้เต็มไปด้วยมลพิษและของเสียเป็นเวลาหลายร้อยปี กิจวัตรประจำวันของ Wall-E ดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ จนกระทั่งได้พบกับ Eve หุ่นสำรวจสุดไฮเทคที่ถูกส่งมายังโลกเพื่อตามหาต้นไม้ ทั้งสองทำความรู้จักและตกหลุมรักกัน ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิด เมื่อ Eve ถูกเรียกตัวกลับไปยังยานแอ็กเซียมที่เหล่ามนุษย์ใช้ลี้ภัยในอวกาศ แต่ Wall-E ดันติดสอยห้อยตามไปด้วย การผจญภัยครั้งสำคัญจึงเริ่มขึ้น
Wall-E ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในด้านรายได้ โดยกวาดเงินไปทั่วโลกกว่า 533 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 180 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์ทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะเนื้อหาที่วิพากษ์ระบบบริโภคนิยม การละเลยสิ่งแวดล้อม และการเสพติดเทคโนโลยีของคนในสังคมปัจจุบัน
ภาพ: Disney / PIXAR