มีระเบียบ ไหวพริบดี ขี้เล่น เป็นกันเอง คุมเวทีได้อยู่หมัด คือคุณสมบัติอันดับต้นๆ ที่เราจะนึกขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนพูดถึงพิธีกรหน้าตี๋ที่มีชื่อว่า กันต์ กันตถาวร แห่งรายการ The Mask Singer, I Can See Your Voice, 10 Fight 10 ฯลฯ
กันต์ กันตถาวร เกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2528 สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมจากโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 และระดับปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เข้าสู่วงการบันเทิงจากการเป็นนายแบบ, ถ่ายภาพนิ่ง, โฆษณา, ดีเจคลื่น EFM และเริ่มเปิดตัวในฐานะนักแสดงเรื่องแรกจากละคร ดาวจรัสฟ้า ในปี 2551 เดินหน้าเป็นนักแสดงเต็มตัว มีผลงานอย่าง บ่วงร้ายพ่ายรัก (2552), เธอกับเขาและรักของเรา (2553), รักไม่มีวันตาย (2554), ปางเสน่หา (2555), บ่วงบาป (2556) ฯลฯ
ช่วงปี 2558 กันต์เริ่มรู้สึกถึงวิกฤตที่โฟกัสแต่การทำงานจนมีปัญหาเรื่องการให้เวลากับคนรอบข้าง และตัดสินใจหันหลังให้งานละครที่เขารัก และเข้าสู่การเป็นพิธีกร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เขาใฝ่ฝันอย่างเต็มตัว
เริ่มเปิดตัวจากรายการ ตอบได้ให้เลย (2558), Bao Young Blood ดนตรีสร้างคุณค่าชีวิต Season 2 (2558) แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากรายการ I Can See Your Voice Thailand (2559) ที่เป็นพิธีกรร่วมกับ เสนาลิง-สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์
และ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง Season 1 (2559) ที่ไหวพริบและเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้หลายคนยกตำแหน่ง ‘หน้ากากผัว’ ให้กับกันต์ท่ามกลางบรรดาหน้ากากนักร้องหลายสิบคนที่มาร่วมรายการ
หลังจากนั้นเส้นทางการเป็นพิธีกรของกันต์ก็โลดแล่นชนิดฉุดไม่อยู่ เขาได้รับโอกาสให้เป็นพิธีกรในรายการ แฟนพันธุ์แท้, Diva Makeover เสียงเปลี่ยนสวย, Social Icon Thailand และ 10 Fight 10 รายการชกมวยสุดเดือด ที่เพิ่งโชว์สกิลการแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าขั้นสุดยอด เมื่อถูก ‘แย่งไมค์’ บนเวที แต่สามารถดึงความสนใจและเปลี่ยนบรรยากาศที่ตึงเครียดให้เป็นความตลกขบขันได้อย่างน่าชื่นชม
นอกจากบุคลิกและปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ สิ่งที่ทำให้กันต์ประสบความสำเร็จอย่างมากคือความเคร่งครัดในระเบียบวินัย และความตั้งใจทุ่มเทร่างกาย หัวใจ และจิตวิญญาณให้กับทุกๆ งานที่ได้รับมอบหมาย เหมือนที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD POP เอาไว้ว่า
“เราต้องจัดการพาร์ตการทำงานให้ดีที่สุด เวลาของทุกคนมีค่า เราต้องเคารพเวลาในชีวิตของทุกคนเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก ในชีวิตการทำงานผมเคยเลตไม่เกิน 5 ครั้ง เพราะผมต้องการเวลาไปกินข้าว ไปสังสรรค์ ไปทำอะไรที่ผมชอบกับคนที่ผมรัก มันคือการใช้ชีวิตไปวันๆ ที่มีความสุขกับทุกสิ่งที่รัก ไม่ใช่มีชีวิตไปวันๆ แล้วหายใจทิ้งอย่างเดียว”