SCB EIC สรุปมุมมองเศรษฐกิจและทิศทางธุรกิจในปี 2026 โดยฉายภาพความท้าทายรอบด้านที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญ พร้อมเจาะลึกกลุ่มธุรกิจรุ่ง-ร่วง และกลยุทธ์การปรับตัวให้อยู่รอด
ปราณิดา ศยามานนท์ ผู้อำนวยการ ผู้บริหารฝ่าย Industry Analysis ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า ปี 2026 จะยังคงเป็นปีที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายสูง โดยสรุปเป็น 5 ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง ดังนี้
- ปัจจัยภายนอก (External Factors) ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันความสามารถในการแข่งขัน รายได้ และอัตรากำไร (Margin) โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออก รวมถึงทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจเพื่อรอความชัดเจน
- กำลังซื้อในประเทศเปราะบาง (Internal Factors): ปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เป็นแรงกดดันหลักต่อการฟื้นตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคงทน เช่น อสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ ที่ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง ต้องจับตาผลการเลือกตั้งใหม่และการจัดตั้งรัฐบาล หากเกิดความล่าช้าใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย จะกระทบต่อธุรกิจที่พึ่งพาเม็ดเงินลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
- การแข่งขันที่รุนแรง ธุรกิจไทยต้องเผชิญคู่แข่งทั้งจากภายในประเทศ ผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาทำตลาด และการแข่งขันในตลาดโลกที่ดุเดือดขึ้นจากคู่แข่งอย่างอาเซียน อินเดีย และเม็กซิโก
- ปัจจัยเชิงโครงสร้าง (Megatrends) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย เทคโนโลยีที่เข้ามา Disrupt โมเดลธุรกิจเดิม และเป้าหมายความยั่งยืน (Net Zero) ที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้น ล้วนเป็นแรงกดดันให้ธุรกิจต้องปรับตัว
จากการประเมินคะแนนความเสี่ยง SCB EIC ชี้ว่า ภาพรวมธุรกิจส่วนใหญ่ยังมี Downside Risk หรือความเสี่ยงขาลง มากกว่า Upside หรือโอกาส
เจาะลึกรายเซกเตอร์ ภาคผลิต-อสังหา เหนื่อยหนัก
เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกรายอุตสาหกรรม พบแนวโน้มที่แตกต่างกัน ดังนี้
- กลุ่มเสี่ยงและชะลอตัว ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใน ภาคการผลิต เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (เสี่ยงจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ), ปิโตรเคมีและเหล็ก (เผชิญปัญหาสินค้าล้นตลาดและการทุ่มตลาดจากจีน) รวมถึงกลุ่มยานยนต์และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังน่าห่วงจากกำลังซื้อที่ฟื้นช้าและภาวะ Oversupply โดยเฉพาะอสังหาเชิงพาณิชย์ที่มีอุปทานใหม่เข้ามาจำนวนมาก
- กลุ่มที่มีโอกาสเติบโต ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกและบริการ เช่น โรงพยาบาล ร้านอาหาร และโรงแรม รวมถึงธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงไฟฟ้าและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งยังมีแนวโน้มขยายตัวได้และสามารถคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์ใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ในอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว หากผู้ประกอบการปรับตัวเกาะกระแสโลกได้ก็ยังมีโอกาสรอด เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของ AI
วิกฤตความสามารถในการทำกำไร SME ส่วนแบ่งตลาดลด-รายใหญ่กำไรหด
ข้อมูลจาก SCB EIC สะท้อนความเหลื่อมล้ำที่น่ากังวล โดยพบว่าธุรกิจ SME ในหลายภาคส่วน เช่น โรงแรม ขนส่ง อสังหา และค้าปลีก มีส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาต้นทุนสูง ข้อจำกัดด้านสภาพคล่อง และขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายใหญ่แม้จะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็เผชิญกับอัตรากำไรที่ลดลงเช่นกัน สาเหตุหลักมาจากสงครามราคาและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
กางตำรา ‘READY’ 5 กลยุทธ์ฝ่าพายุเศรษฐกิจ
เพื่อรับมือกับความท้าทายข้างต้น ปราณิดาได้นำเสนอแนวทางปรับตัวผ่านโมเดล ‘READY’ ดังนี้
- R – Repositioning ปรับจุดยืนธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถด้วยการพัฒนาสินค้าให้แตกต่าง กระจายความเสี่ยงหาตลาดใหม่ และปรับกระบวนการทำงานให้ยืดหยุ่น (Agile/Lean)
- E – ESG Principle วางแผนเรื่องความยั่งยืนให้ชัดเจน ทั้งการผลิตสินค้า Green Product และการลดคาร์บอน เพื่อรับมือกับกฎระเบียบใหม่ และเจาะตลาดคู่ค้าที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ เช่น สหภาพยุโรป
- A – Alliance สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ควรมีการรวมกลุ่ม (Cluster) เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ลดต้นทุน และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
- D – Digitalization ลงทุนในเทคโนโลยีและ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) และใช้ช่องทางดิจิทัลแบบ Omni-channel เพื่อเข้าถึงลูกค้า
- Y – Youthfulness สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมปรับตัว เปิดรับนวัตกรรม และ Reskill/Upskill พนักงานให้ทันโลก รวมถึงการกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ (Diversify)
บทสรุปจาก SCB EIC ย้ำว่า แม้ปัจจัยลบจะมีมาก แต่หากธุรกิจสามารถปรับตัวตามกลยุทธ์ READY ได้ทันท่วงที ก็จะมีความพร้อมไม่เพียงแค่รับมือความเสี่ยง แต่ยังสามารถคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่รออยู่ข้างหน้าได้สำเร็จ


