วันนี้ (24 กรกฎาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวชี้แจง กรณีปรากฏภาพเสื้อเกราะของตำรวจว่าวัสดุด้านในลักษณะคล้ายไม้อัด จนทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยว่าเสื้อเกราะดังกล่าวสามารถป้องกันอันตรายให้เจ้าหน้าที่ผู้ใช้งานได้หรือไม่
พ.ต.อ. วีระยุทธ หิรัญ รองผู้บังคับการกองสรรพาวุธ กล่าวว่า เสื้อเกราะที่ปรากฏตามภาพในโซเชียลมีเดียที่มี Serial Number 8A154338 ดังกล่าวเคยใช้ในราชการตำรวจ โดยจัดซื้อเมื่อเดือนเมษายน 2553 ทั้งหมด 650 ตัว แบ่งเป็นเสื้อเกราะพร้อมแผ่นเกราะแข็งระดับ 3 จำนวน 500 ตัว และเป็นเกราะอ่อนอีก 150 ตัว ยืนยันว่าเกราะทุกตัวเป็นไปตามมาตรฐาน NIJ (National Institute of Justice) สหรัฐอเมริกา
หลังเกิดประเด็นในสังคม ทางกองสรรพาวุธได้ไปตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างเสื้อเกราะ ซึ่งวิธีการจัดซื้อจัดจ้างคือให้ผู้เสนอราคานำแผ่นเกราะมาเสนอพร้อมยื่นราคา จากนั้นจะทดสอบประสิทธิภาพการป้องกัน โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ยิงทดสอบ จนเมื่อผ่านเกณฑ์ไปแล้ว ผู้ที่เสนอราคาผ่านจะต้องถูกสุ่มตรวจวัสดุของเกราะอีกครั้งหนึ่งแบบมีหลักการจากหน่วยงานกลาง เพื่อพิจารณาเรื่องเส้นใยวัสดุที่จะต้องมีความแข็งแรงปลอดภัยสูงสุด สรุปได้ราคาจัดซื้อชุดดังกล่าวที่ 34,000 บาทต่อตัว
พ.ต.อ. วีระยุทธ ยืนยันว่า การจัดซื้อจัดจ้างเกราะเป็นไปโดยโปร่งใสตามขั้นตอน ตรวจสอบได้ ยุทธภัณฑ์นี้มีประสิทธิภาพป้องกันได้ถึงระดับปืนซุ่มยิง หรือที่รู้จัก คือ ปืน M16, ปืนอาก้า และปืนอาวุธสงคราม
พล.ต.ต. นิรันดร ศิริสังข์ไชย ผู้บังคับการกองสรรพาวุธ กล่าวเสริมว่า นอกจากการจัดหาเสื้อเกราะให้กำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดการประกันคุณภาพเสื้อเกราะ รวมทั้งประกันชีวิตและประกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ไว้ตามระยะเวลาข้างต้นด้วย หากได้รับบาดเจ็บเป็นเงิน 5 แสนบาท เสียชีวิตเป็นเงิน 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ เกราะดังกล่าวที่เป็นประเด็นตามระเบียบราชการถือว่าหมดอายุการใช้งานแล้วเมื่อปี 2559 เพราะตามอายุที่กำหนดไว้คือ 5 ปีเท่านั้น ขั้นตอนจากนี้จะเป็นการจำหน่ายและทำลายยุทธภัณฑ์ตามระเบียบราชการ
ด้าน พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กล่าวว่า ภาพเกราะที่ปรากฏตามสื่อโซเชียลเป็นเกราะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในชุดจัดซื้อ 8A154338 จริง แต่ยืนยันว่าเศษไม้ลักษณะสามเหลี่ยมที่วางอยู่บนเกราะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเกราะแน่นอน แต่เป็นชิ้นส่วนจากสิ่งใดยังไม่สามารถให้คำตอบได้ เนื่องจากภาพที่โพสต์เป็นการครอปภาพแบบแคบจนไม่เห็นภาพรวมของเสื้อเกราะ
ทั้งนี้ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานได้รับแผ่นเกราะมาทดสอบ เพื่อหาคำตอบว่าวัสดุภายในเป็นสิ่งใดบ้าง โดยเจ้าหน้าที่นำมาชำแหละตรวจสอบโครงสร้าง วัดขนาด ชั่งน้ำหนัก จากนั้นได้ตรวจสอบทางกายภาพพบว่าวัสดุของเกราะมีการวางซ้อนกันด้วยผ้าแผ่นบางๆ มากกว่า 100 ชั้น
เมื่อถ่ายจากกล้องวิดีโอไมโครสโคป 3D กำลังขยาย 1,500 เท่าขึ้นไป จะพบว่าวัสดุของเกราะเป็นเส้นใยโพลีเอทิลีนผสมกับโพลีสไตรีน อัดด้วยกำลังอัดแน่นความดันสูง จนทำให้ผ้าทั้งหมดรวมตัวกันเป็นลักษณะเหมือนของแข็ง
พล.ต.ท. ไตรรงค์ กล่าวว่า คุณสมบัติของเส้นใหญ่โพลีเอทิลีน เมื่อผ่านกระบวนการผลิตเทคนิคพิเศษ ทำให้เกิดความแข็งแรงและมีน้ำหนักเบา เมื่อมาใช้กันกระสุน กระสุนจะถูกจับยึดด้วยเส้นใย เส้นใยเหล่านี้จะดูดซับและกระจายพลังงานของหัวกระสุนปืน เป็นผลให้กระสุนนั้นบิดเบี้ยวหรือเสียรูปไปจนไม่สามารถทะลุเกราะได้
หลังตรวจสอบวัสดุ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจได้ทดสอบด้วยการยิงกระสุนจริงใส่เสื้อเกราะโดยใช้กระสุนขนาด 9 มม., .357 และ .45 อย่างละ 3 นัด รวม 9 นัด ผลปรากฏว่าเสื้อเกราะทั้ง 3 ตัวสามารถกันกระสุนได้ทั้งหมด
ขณะที่ พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า หลังจากยุทธภัณฑ์หมดอายุการใช้งานจะไม่สามารถขายให้บุคคลใดได้ เนื่องจากเป็นยุทธภัณฑ์ของทางราชการ
ขอย้ำกับพี่น้องข้าราชการตำรวจที่ต้องทำงานที่มีความเสี่ยงว่า ผู้บังคับบัญชาทุกระดับมีความเป็นห่วงในการที่พวกท่านต้องออกปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชน สิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดหาให้ ขอให้เชื่อมั่นว่าเป็นไปตามมาตรฐาน
หลังจากการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้ขอให้ทดลองยิงเสื้อเกราะตัวเดียวกันอีกครั้ง โดยมีตัวแทนผู้สื่อข่าวเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ โดย พล.ต.ท. ไตรรงค์ ได้นำเสื้อเกราะตัวเดียวกันไปทดสอบยิงที่ห้องปฏิบัติการด้วยอาวุธปืนพก 3 แบบ ประกอบด้วยกระสุนขนาด 9 มม., .357 และ .45 รวม 8 นัด ในระยะยิง 5 เมตร