วันนี้ (17 กรกฎาคม) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดที่ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา ร่วมกับ
อินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา, เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) รวมถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
หลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ แถลงว่า ได้มีการจัดตั้งศูนย์ร้องเรียนการกระทำผิดของพระสงฆ์ขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ โดยมี ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นผู้อำนวยการศูนย์ชั่วคราว แต่ในอนาคตจะยกระดับให้เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน สำนักงานพระพุทธศาสนาจะทำหน้าที่ตรวจสอบการผิดวินัยสงฆ์ ส่วนตำรวจจะดำเนินคดีหากพบการกระทำผิดทางอาญา และ ป.ป.ช. จะพิจารณาเรื่องการแสดงทรัพย์สินของวัด
ผบ.ตร. ย้ำว่าการจัดตั้งศูนย์ครั้งนี้เป็นผลมาจากเหตุการณ์พระสงฆ์และสำนักสงฆ์หลายแห่งเข้าข่ายการกระทำผิดวินัยสงฆ์และอาญาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับทุกหน่วยงาน โดยขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้ว 69 เรื่อง แต่ยังไม่ขอลงรายละเอียดในแต่ละกรณี และได้เน้นย้ำให้ระมัดระวังข้อมูลที่อาจนำไปสู่การกลั่นแกล้ง หรือการแจ้งความเท็จ ซึ่งหากพบจะดำเนินคดีกับผู้แจ้งความเท็จด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่ตำรวจทราบว่าเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ มีการละเว้นและบกพร่อง แต่ไม่มีการดำเนินคดี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ชี้แจงว่า ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดใคร และต้องมีผู้แจ้งร้องทุกข์ ยืนยันว่าตำรวจและสำนักพุทธฯ ไม่ได้กระทำผิด มีเพียงพระสงฆ์บางรูปเท่านั้นที่ประพฤติไม่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นส่วนน้อยจากพระสงฆ์ 3 แสนรูป จึงขออย่าเหมารวมศาสนา
ส่วนประเด็นที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไม่ได้รับความร่วมมือจากสำนักพุทธฯ ในการดำเนินคดีต่างๆ จนทำให้เกิดความไม่สบายใจ ผบ.ตร. ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้ง และไม่ถึงขนาดต้องจูบปาก แต่เป็นเพราะ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เป็นคนตั้งใจทำงานมาก การสื่อสารจึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน จึงได้กำชับเรื่องการให้ข้อมูล เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และตนไม่ต้องการติ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพราะจะทำให้เสียกำลังใจ
นอกจากนี้ ผบ.ตร. ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของ คดีสีกากอล์ฟ ว่าแม้จะมีการจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว แต่จะยังคงขยายผลเส้นทางการเงินต่อไปว่าไปถึงใครบ้าง และในส่วนที่มีผู้หวังดีร้องเรียนเกี่ยวกับ พระสมณศักดิ์สูง ที่กระทำผิดและไม่เกี่ยวข้องกับคดีสีกากอล์ฟนั้น ตนได้รับทราบเรื่องแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณา เบื้องต้นยืนยันว่าเป็นพระในพื้นที่ต่างจังหวัด ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร และมีความเกี่ยวข้องกับสีกา ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเงินหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ