×

Unisex Model นายแบบและนางแบบในคนเดียวกัน

09.11.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

Time index

02.45 สนใจแฟชั่นตั้งแต่เด็ก

04.30 ถูกส่งให้ไปอยู่สิงคโปร์

05.30 เริ่มชีวิตการเป็นนายแบบ

07.15 เข้าแข่งขันในรายการ The Face Men Thailand

11.47 เหตุการณ์ประทับใจในบ้าน The Face Men Thailand

17.30 นายแบบ androgynous กับวงการแฟชั่น

21.30 อยากเป็นครูสอนโยคะ

27.04 อยากเปลี่ยนเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงไหม

     ถ้าใครได้ดูรายการ The Face Men Thailand ที่เพิ่งผ่านไป คงต้องจำผู้ชายผมยาวที่เป็นได้ทั้งนางแบบและนายแบบในคนเดียวกันอย่าง เติร์ท-ธนภพ อยู่วิจิตร ได้ อย่างที่เรารู้ เติร์ทคือ LGBT เพียงคนเดียวในรายการที่เต็มไปด้วยผู้ชายกล้ามใหญ่ ในขณะเดียวกันสิ่งที่เติร์ทเป็นกลับไม่ได้ถูกข่มหรือเป็นปมด้อยในรายการแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความโดดเด่นและยอมรับจากคนทั่วไปว่าเติร์ทเป็นอย่างที่ตัวเองเป็น

     คราวนี้เราจะคุยกับเติร์ทแบบลงลึกในหลายด้าน ทั้งเรื่องราวในวัยเด็ก ชีวิตส่วนตัว ความชอบ รวมถึงทัศนคติที่ทำให้เรารู้ว่าเติร์ทไม่ได้มีดีแค่หมุนฟูลเทิร์น

 

รู้สึกอย่างไรกับรายการที่เพิ่งผ่านไปบ้าง

     ตอนอยู่ในรายการสนุกดี มันมีหลายความรู้สึก ทั้งเครียด ทั้งแฮปปี้ ทั้งสนุก มันได้เรียนรู้ทุก Episode ที่เราถ่าย เหมือนกับได้ความรู้เยอะมาก ได้ทำให้เราเติบโตขึ้นกว่าก่อนที่เราจะเข้าไป ไม่น่าเชื่อว่าภายใน 4 เดือนมันจะสามารถเรียนรู้อะไรได้เยอะขนาดนี้

 

ชีวิตในวัยเด็กเติร์ทเป็นเด็กอย่างไร

     เป็นเด็กแฮปปี้ แต่ก็โดนเพื่อนแกล้งบ้าง เรื่องเป็นตุ๊ด มันน่ารำคาญนิดหนึ่ง

 

คือเราแสดงออกตั้งแต่เด็กเลย

     ใช่ ตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงแสดงออกแบบนี้ คือเราเป็นแบบนี้ คือเรารู้สึกว่าทำไมเราเอาผ้าขนหนูมาทำเป็นผม แล้วเอาผ้ามาพันเป็นกระโปรงเดินอยู่ในบ้าน พอแม่มาก็รีบถอดแล้วโยนทิ้งแล้วปลดล็อกประตูเพราะล็อกบ้านไว้ แม่ก็จะไม่รู้ อยู่โรงเรียนก็แสดงออก แต่แรกๆ พ่อแม่ก็ไม่รู้ มารู้ทีหลังก็โอเค เขาชิลล์

 

เราสนใจเรื่องแฟชั่นมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า

     ใช่ เพราะแม่ชอบดู Fashion TV มันมีรันเวย์ ก็หัดเดินอยู่ที่บ้าน ก็เดินเล่นเพราะมาจากอินเนอร์

 

พ่อกับแม่เขาเข้มงวดกับเรามากไหมหรือปล่อยไปเลย

     แรกๆ พ่อก็ส่งไปเตะบอลเหมือนกันนะ ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องส่งเราไปเตะบอลด้วย ไม่อยากเตะเลย พ่อเขาไม่เก็ต นึกว่าไปอยู่กับผู้ชายแล้วจะเป็นผู้ชาย แต่ความจริงมันไม่ใช่ Life doesn’t work that way

 

เติร์ทเป็นลูกครึ่งหรือเปล่าเห็นถนัดพูดทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ

     ไม่ใช่ คือมันติด ปกติใช้ภาษาอังกฤษเยอะกว่า เรียนอินเตอร์ด้วย แล้วก็อยู่กับคนที่พูดภาษาอังกฤษเยอะกว่าภาษาไทย เด็กๆ เติร์ทเรียน 2 ภาษา แล้วไปอยู่สิงคโปร์แล้วถึงกลับมา

 

แล้วชีวิตที่สิงคโปร์เป็นอย่างไรบ้าง

     ก็ออกสาว คนจีนก็จิกสุด ด่าสุด โฮสต์ที่บ้านก็บอกว่าเติร์ททำแบบนี้ไม่ได้ ก็แต่งหน้าอยู่บ้านด้วยความสวย เติร์ทไปอยู่ปีหนึ่งแล้วเขาก็จะเรียนซ้ำชั้น เริ่มไม่อยากอยู่เลยกลับมาเมืองไทยและมาเรียนอินเตอร์ เรียนไปเรียนมาก็ไม่ชอบ ก็ดรอป ลาออกและสุดท้ายก็สอบเทียบเอา

 

อย่างนี้แสดงว่าที่บ้านให้อิสระพอสมควร

     มากเลยล่ะ ไม่น่ามีพ่อแม่คนไหนให้ทำกับการเรียนๆ ดรอปๆ แบบนี้

 

แล้วเติร์ทเข้ามาสู่การเป็นนายแบบได้อย่างไร

     นานแล้วนะ ตั้งแต่เติร์ทอายุ 15 ปี ตอนแรกเติร์ทถ่ายแค็ตตาล็อกเล่นๆ กับเพื่อน ทีนี้เพื่อนก็บอกว่ามีโมเดลลิ่งชื่อ Model 65 เขารับสมัครนายแบบ เติร์ทก็สมัครไป มีทั้งเรียนเดินแบบ ถ่ายแบบ พอทำงานมาสักพักหนึ่งเติร์ทก็ออกจาก Model 65 ผ่านไปไม่นานก็มีเอเจนซีอีกที่มาถามว่าอยากทำอยู่ไหม Why not? เติร์ทเลยไปอยู่กับที่ Magnet Model และก็มาสมัคร The Face

 

เรามาสนใจความเป็นนายแบบได้อย่างไร นับจากเดินแฟชั่นเล่นๆ ที่บ้านมา คือสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เลยหรือเปล่า

     It’s do it for fun at first. คือดูและทำเพราะชอบอย่างเดียวเลย ไม่ได้ทำเพราะอยากได้เงิน แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ

 

คอนเซปต์ที่ได้ตั้งแต่เริ่มถ่ายมาใหม่ๆ เราได้ Unisex ตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า

     เติร์ทถ่ายเป็นผู้ชายมาตลอด หลังๆ เพิ่งได้ถ่าย Unisex หลังจากถ่ายนิตยสาร LIPS มาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นใส่กระโปรง Gucci ถ่าย I loved it! จริต อินเนอร์เข้ากว่า I’m sticking to this side.

 

แล้วทำไมถึงเลือกสมัคร The Face Men

     คือเกิดจากความจับพลัดจับผลู เพื่อนชวนว่าไปไหม เติร์ทก็เลยไปด้วย เติร์ทปรินต์รูปวันนั้นเลย เขาปิดแคสติ้งประมาณ 5 โมงเย็นเราไปก็บ่าย 3 บ่าย 4 แล้ว

 

ตอนสมัครกรรมการมีถามคำถามอะไรบ้าง

     มีคำถามหนึ่งเขาถามว่า เห็นคนอื่นกล้ามใหญ่มากในขณะที่เราไม่มี เรารู้สึกว่าเป็นจุดด้อยของเราหรือเปล่า เติร์ทตอบว่า ไม่ ทุกคนมีร่างกาย มีสรีระที่ไม่เหมือนกัน มันไม่ได้เป็น stereotype ที่นายแบบทุกคนต้องกล้ามใหญ่ No, there is another type of model too.

 

 

ตอนที่รู้ตัวว่าติดรอบสุดท้ายของ The Face Men Thailand รู้สึกอย่างไรบ้าง

     อย่างแรกคืองง Really I’m in. แต่ก็ตื่นเต้นและอยากรู้ว่ามันอย่างไร เพราะเติร์ทก็ไม่คิดว่าจะต้องเข้ารอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เรียนรู้และโตขึ้นในสิ่งที่เราอยากจะทำ

 

พอรู้ผลปุ๊บบอกใครก่อน

     เติร์ทไม่ได้บอกพ่อแม่เลยจนติดรอบสุดท้ายแล้ว จนพ่อแม่ต้องเซ็นรับรองเพราะว่าเติร์ทอายุไม่ถึง 20 ปี เติร์ทไม่อยากบอกใครเพราะอยากเก็บเป็นความลับ คือเราไม่รู้ว่าถ้าสุดท้ายเราไม่ติดเราก็จะได้ไม่ต้องบอกใครว่าไปสมัครมา ตอนแรกๆ เติร์ทไม่ค่อยดูเลย พอดูแล้วจะรู้สึกเขินตัวเองน่ะ

 

แล้วพออยู่ในบ้าน The Face Men มีเหตุการณ์หรือแคมเปญไหนที่รู้สึกว่า เราได้แสดงความเป็นตัวตนของเราออกมามากที่สุด

     น่าจะเป็นมาสเตอร์คลาสเดินแบบ นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด แต่ว่านี่คือ The Face Men ไง ส่วนแคมเปญ เติร์ทว่า Episode ที่ 3 ที่เดินกับม้า แต่ถ้าถามว่าฉายตัวเองไหม ก็คิดว่าไม่ขนาดนั้น แต่เติร์ทก็ทำได้ดีที่สุด คือให้ทำอะไรเราก็ทำได้

 

 

แล้วพอไปอยู่บ้านนั้นแล้วต้องไปอยู่กับเพื่อนผู้ชาย มันต้องปรับตัวมากไหม หรือว่าเขาคุยอะไรกันแต่แมนๆ

     ไม่ เติร์ทเข้าใจ เพราะว่าเพื่อนผู้ชายเยอะ จริงๆ เพื่อนผู้หญิงกับเพื่อนตุ๊ดก็เยอะเหมือนกัน เราค่อนข้าง Socialize พอสมควร เราเลยเข้าใจว่าคนอื่นคุยหรือทำอะไรกัน แล้วเราก็ปรับตัว อยู่กับใครก็ได้ เป็นคนอยู่ง่าย แล้วทีนี้ในบ้านทุกคนมีความสุขมาก ทั้งคุยกัน เล่นกัน อยู่ในสระน้ำ เราอยู่ในน้ำทั้งวัน พอถึงคิวถ่ายก็ขึ้นมาจากน้ำ เช็ดตัว ถ่ายเสร็จก็ลงไปใหม่

 

ไม่มีใครล้อใช่ไหมคะ

     ไม่มีเลย ข้อดีของเพื่อนทุกคน คือ ทุกคนทำให้เรารู้สึกปกติ ไม่ได้ปฏิบัติกับเราว่าแปลกประหลาดอะไร

 

มีเหตุการณ์อะไรที่ประทับใจจากมุมของคนที่อยู่ในบ้านบ้าง

     เติร์ทคิดว่าทุกความทรงจำ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้าน มันคือเรื่องราวที่น่าจะจำหมดเลย เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ไม่มีอันไหนโดดออกมามากกว่ากันเพราะมันดีหมด

     มีอยู่ครั้งหนึ่ง คือ วันสุดท้ายของการอยู่ในบ้าน แล้วทีนี้เขาให้เขียนความในใจถึงใครก็ได้ในบ้าน เติร์ทก็เขียนถึงฟิลลิปส์ (ฟิลลิปส์ ทินโรจน์) ว่า ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ฟิลลิปส์เขาเป็นคนอัธยาศัยดีมาก แล้วเป็นคนที่คุยด้วยได้ตลอด มีอะไรก็ปรึกษากัน น่ารัก วันนั้นเราก็ไม่รู้ว่าใครจะเขียนถึงเรา ตอนแรกคิดว่าใครเขียนให้ก็ได้ หรือถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่พอเขามานั่งอ่านทีละคน แล้วเป็นฟิลลิปส์เขียนถึงเติร์ท Oh my god! I wrote for him and he wrote for me, It’s so cute. มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เราประทับใจเพื่อนคนหนึ่งว่าอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยเขียนถึงคนนี้ และคนนั้นก็คิดถึงเราด้วย ตอนเด็กๆ ก็เคยมีอย่างนี้เหมือนกันนะที่โรงเรียนให้เขียนถึงเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเติร์ทเขียนถึงเพื่อนคนไหนไม่มีใครเขียนถึงเติร์ทสักคน แล้วพอทีนี้ฟิลลิปส์เขียนถึงเติร์ท ว้าย Love you.

     ส่วนพี่หมู (พลพัฒน์ อัศวะประภา) คือเมนเทอร์ที่ดีที่สุด ดีมาก เป๊ะ เล่นใหญ่ ชอบ พี่หมูสอนทุกอย่าง คือเขาจะเน้นไปทางความรู้มากกว่ารูปร่างของเรา แต่เขาก็ไม่ได้ละเลย เขาจะอัดคลาสเดินแบบ ถ่ายแบบ การแสดง และเรียนกับตัวท็อปทุกคน เราไม่มีทางคิดถึงเลยว่าพี่หมูจะส่งไปเรียนกับคนนั้นคนนี้ พี่หมูทุ่มสุดตัว เติร์ทถึงบอกไงว่าชนะไม่ชนะไม่สำคัญ เพราะว่ามันได้อะไรมากกว่าที่เราจะมากังวลเรื่องชนะ

 

คือเราพัฒนาขึ้น

     ใช่ เพราะเติร์ทว่าตั้งแต่แข่งมา ไม่เคยแข่งกับเพื่อนเลยเราแข่งกับตัวเองตลอด เช่น คราวที่แล้วเราทำแบบนี้ไม่ได้คราวนี้เราต้องทำให้ได้ มันต้องพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่เห็นเพื่อนทำดีเราต้องทำดีกว่าเขามันไม่ใช่แบบนั้น เติร์ทเชื่อว่าเพื่อนทุกคนในบ้านก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นด้วย

 

Final Walk มีคนพูดกันไปหลากหลายความคิดเห็น สำหรับเติร์ทรู้สึกอย่างไรบ้าง

     เติร์ทแฮปปี้มากเลยนะ วันนั้นเป็นวันที่ดีเหมือนกับเป็น Last Reunion Day ที่เพื่อนๆ ทุกคนมาเจอกันในแคมเปญสุดท้าย เหมือนไม่ใช่แคมเปญด้วยซ้ำ แต่เหมือนเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกันครบๆ วันนั้นมันคือวันที่ดีมาก

 

 

มีปิ๊งใครในบ้านบ้างไหม

     No ทุกคนเป็นเหมือนพี่เติร์ทน่ะ อย่างอติลา (อาร์เธอร์ อภิชาติ กานโยซ์) เดินมาอย่างกับเป็นพ่อ ทุกคนคือพี่ชาย แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งเติร์ทแขนเจ็บแล้วต้องใส่เฝือกอ่อน คือต้องถอดก่อนอาบน้ำ ซึ่งแขนมันใช้ได้ข้างเดียว พีเค (พัสกร วรรณศิริกุล) ก็มาช่วยเติร์ทถอดเสื้อ ใส่เฝือก Oh my god everyone is so nice ทุกคนเหมือนพี่น้องที่อยู่ด้วยกันจริงๆ อยู่กันเหมือนเพื่อนสนิทเลย

     ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากนะ ตอนนั้นเหมือนเราโฟกัสอยู่แค่เรื่องตรงหน้า พอเราจบแล้วออกมาแล้ว What is happened?

 

ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปบ้างไหม มีคนเข้ามาทักมากขึ้นไหม

     มีคนเข้ามาทักเยอะนะ แฮปปี้นะเวลามีคนเข้ามาทัก ไม่เคยหยิ่ง มาเลยมาทักเลย

 

ตอนนี้เติร์ทเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คน และเริ่มมีคำที่คนคุ้นเคยกันมากขึ้นอย่างนายแบบ unisex หรือ androgynous

     androgynous คือคนที่มีความเป็นผู้ชายและหญิงผสมอยู่ด้วยกัน และไม่กลัวที่จะแสดงออกด้านที่เป็นหญิงของตัวเอง นี่คือ definition ของ androgynous คือเราไม่ต้องจับคนใส่ประเภทใดประเภทหนึ่ง คือเราไม่ต้องจำแนกประเภทคนทุกคนบนโลก คุณเป็นผู้ชาย คุณเป็นผู้หญิง คนต้องอยู่ในเซกชันนี้ คุณเรียนเก่งคุณอยู่ห้องนี้ คุณเรียนอ่อนคุณอยู่ห้องนี้ จุดประสงค์ของการแบ่งคนแบบนี้คืออะไร

 

“สมมติเราไม่ใช่คนแล้วมองมาจากนอกโลก ทำไมคนผิวขาวต้องอยู่ด้วยกัน ทำไมคนผิวดำต้องแยกออกมา แล้วทำไมคนเอเชียต้องแยกออกมา ทำไมทุกคนไม่เป็นเพื่อนกัน ทำไมต้องแบ่งแยกกันด้วย”

 

แล้วในวงการแฟชั่นกระแสของ androgynous เป็นอย่างไรบ้าง

     จริงๆ มี androgynous model คนหนึ่งที่เติร์ทชอบมากชื่อ Andrej Pejic ผมบลอนด์ๆ เดินแบบให้ Jean-Paul Gaultier ใส่ชุดแต่งงานเดินออกมา แต่เป็นผู้ชาย ชอบมาก แต่ตอนนี้แปลงเพศไปแล้ว

     เติร์ทคิดว่าจริงๆ มันไม่ได้เปรียบและไม่ได้เสียเปรียบขนาดนั้น ปกตินะ เพราะสมมติมีแคมเปญที่เราต้องแมน เพื่อนก็ไม่ได้มานั่งล้อว่ามึงทำแมนจังเลย ไม่ได้เป็นแบบนั้น Doesn’t make any differents ที่บอกไปคือเติร์ทรู้สึกว่าเติร์ทคือคนปกติ แค่คนคนหนึ่งที่ไม่ได้โดน Categorize ว่าเป็นอย่างไร ทุกคนคุยกับเราปกติ มันไม่ได้เป็นข้อด้อยหรือข้อดี

     ถ้ามีแคมเปญแมนๆ เราก็เอาอินเนอร์เพื่อนๆ ดูว่ามันทำอย่างไร เราก็ทำเหมือนพวกมันนั่นแหละ คือสังเกตคนอื่น รีเสิร์ชจากเพื่อนตัวเอง มีหลายคนเลยในบ้าน จริงๆ แล้วแต่งานว่าเขาอยากให้เติร์ททำแบบไหน เรายืดหยุ่นพอตัว ถ้าโยนอะไรมาก็น่าจะทำได้ แต่จริงๆ อย่างใน The Face ความจริงเราถ่ายแบบ 1 ครั้ง ถ่ายวันหนึ่งกว่าจะได้หน้ากลางของแมกกาซีน หรือจะเป็น look book อันหนึ่งก็ตาม แต่ในรายการทีมหนึ่งมี 6 คน ให้เวลา 15 นาที Are you crazy? คนละ 3 นาที มันยากมากเลยนะพี่ ที่แน่ๆ เลยคือเราทำได้คนละ 1 ครั้ง แต่ถ้าเวลามันเหลือ 2 คนแรกที่ทำก่อนก็จะได้ทำอีกครั้ง แต่การทำตามเวลาที่กำหนดมันก็ได้เรียนรู้ว่า เราจะรับมือกับความกดดันอย่างไร เพราะมันกดดันเยอะพอสมควร แล้วเราทำอย่างไรให้ 1 ช็อตที่เราถ่ายแล้วมันได้เลย

 

ถ้าเกิดไม่ได้เป็นนายแบบ คิดว่าตอนนี้ตัวเองจะทำอะไรต่อ

     ครูสอนโยคะ เติร์ทชอบเล่นโยคะอยู่แล้ว เพราะมันสบายๆ ช้าๆ สงบๆ แล้วรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่ได้ให้คนอื่นด้วย ถ้าเราสอนคนอื่นก็เหมือนสอนคนอื่นให้มีสุขภาพที่ดีด้วย

     เติร์ทเล่นโยคะมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะตอนเด็กๆ แม่ชอบไปเล่นโยคะ แล้วที่ๆ แม่ไปเป็นโยคะสตูดิโอที่มีสระว่ายน้ำข้างล่าง แล้วแม่จะเอาลูกไปโยนที่สระว่ายน้ำ แล้วแม่ก็ขึ้นไปเล่นโยคะ พี่ๆ เติร์ทก็เล่นน้ำไป เติร์ทไม่เล่นน้ำเลยขึ้นไปเล่นโยคะกับแม่ ตอนนั้นยังไม่ได้จริงจังอะไร ไปวิ่งเล่นแล้วก็กลับมาทำ จนผ่านไปประมาณจนเติร์ทอายุ 16-17 ปี ก็ได้เจอเพื่อนคนหนึ่งชื่อแอนนี่ เป็นคนอเมริกัน คุยกันไปมาปรากฏว่าเขาเป็นครูสอนโยคะ จนสนิทสนมกัน ทีนี้เขาก็เริ่มชวนไปคลาสกุณฑลินีโยคะ พาไปโยคะเพลงเรกเก้ So Cool! อันนี้คือเล่นโยคะกับเพลงเรกเก้ เท่มาก เป็นท่าปกติแบบ Flow Yoga เลย อยากเปิดโรงเรียนสอนโยคะแล้วทำอะไรแบบนี้

 

แสดงว่าฝึกโยคะมาเกือบ 10 ปีแล้ว

     มันไม่ต่อเนื่องนะ ทำแล้วก็หยุด เติร์ทแพลนว่าครึ่งเดือนหลังถ้าว่างจะไป Yoga Retreat

     เติร์ทไม่ได้ชอบเป็นโพสไหนของโยคะเป็นพิเศษ แต่ชอบภาพรวมของโยคะทั้งหมด ทำแล้วมันได้ทั้งตัว คือมันสบาย โดยเฉพาะกุณฑิลินีโยคะเพราะมันเกี่ยวกับพลังงานในร่างกาย แพลนว่าปีหน้าจะไปอินเดีย จะไปอบรมครูสอนโยคะที่นั่น

 

 

เติร์ทวางเป้าหมายในการเป็นนายแบบของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง

     เรื่อยๆ ถ้ามีโอกาสไปเมืองนอกหรือมีอะไรเข้ามาก็ทำได้ ไม่ได้ซีเรียสว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร เพราะเราไม่รู้อนาคต เติร์ท go with the flow ดีกว่า

 

อยากบอกกับคนอื่นอย่างไรบ้างว่าที่เราก้าวมาถึงจุดนี้ อาจจะเป็นแรงบันดาลใจของ LGBT หลายๆ คน

     เติร์ทอยากพูดว่า เติร์ทไม่ได้อยากเป็นตัวแทนจะพูดว่าคุณต้องเปลี่ยนโลกนี้ เติร์ทไม่ได้อยากให้คนที่ Straight people หันมามองว่า Gay people ปกติ เติร์ทอยากให้ Gay people stand up for themself. Just do what ever you wanna do คุณเปลี่ยนตัวเองได้ แต่คุณเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเปลี่ยนตัวเองให้มาทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ other people doesn’t matter คนอื่นไม่สำคัญเลย

 

“เสียงของคนอื่นมันเป็นแค่เสียงน่ะ แต่เสียงของเรามันอยู่ข้างใน มันสามารถผลักดันตัวเองได้”

 

ตอนนี้เราได้โอกาสมาแล้ว เรารู้สึกอย่างไรกับมันบ้าง

     เติร์ทรู้สึกดีมาก เหมือนชีวิตมันถูกวางแผนไว้ทุกอย่างแล้ว แต่เราสามารถส่ง Guide energy ได้ว่าเราสามารถเลือกเดินไปในทางไหน เติร์ทพยายามคิดแต่เรื่องดีๆ คิดแต่ด้านบวกอยู่ตลอดเวลา ไม่คิดมาก อยากมาก็มา อยากทำก็ทำ สมมติว่าไม่ได้โอกาสนี้เติร์ทก็ยังมีความสุขกับชีวิตอยู่ดี

 

อยากให้กำลังใจคนอื่นอย่างไรบ้าง หากเขาอยากก้าวเข้ามาอยู่ในจุดนี้อย่างเรา

     Just try doing what you do best แค่นั้นแหละ แล้วทำให้ตัวเองเป็นคนหนึ่งคนนั้น ที่อยากจะเป็น เริ่มจากตัวเองก่อน

 

อยากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายไหม

     เติร์ทรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนนะ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน คือทุกคนน่าจะมีข้อดีข้อเสียของแต่ละเพศ เติร์ทไม่เปลี่ยน I’m already use to this body เติร์ทโอเคกับการที่เป็นแบบนี้แล้ว แล้วเติร์ทโอเคกับชีวิตนี้ โอเคที่จะอยู่ในร่างกายนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร

 


 

Credits

The Host นันท์ณภัส ธิปธรารัตนศิริ

The Guest ธนภพ อยู่วิจิตร

 

Show Creator อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Episode Producer อธิษฐาน กาญจนะพงศ์

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director กริณ ลีราภิรมย์

Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

Music Westonemusic.com

FYI
  • ติดตามชมรายการ The Face Men Thailand ย้อนหลังได้ที่ www.youtube.com/user/KantanaGroup/playlists?shelf_id=16&view=50&sort=dd
  • The Face Men Thailand Episode 3 มาสเตอร์คลาสเดินแบบ www.youtube.com/watch?v=qYkA_kdWbhw&list=PLeJH34HhHyGKR9CowH7dFT3h3KjpmzCAd
  • The Face Men Thailand Episode 3 แคมเปญเดินแบบกับสัตว์ www.youtube.com/watch?v=02GQ9WOemqM&list=PLeJH34HhHyGKR9CowH7dFT3h3KjpmzCAd&index=5
  • Andrej Pejic คือนางแบบข้ามเพศชาวออสเตรเลียน ปัจจุบันอายุ 26 ปี ซึ่งเป็นนายแบบ androgynous ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก
  • กุณฑิลินี คือ พลังโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย โดยพลังดังกล่าวเชื่อว่าทำให้ทุกส่วนในร่างกายรู้สึกตื่นรู้ เบิกบาน และมีจิตวิญญาณที่เจริญงอกงาม
  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising
X