ภาพรวมของเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทยในปี 2020 จะเป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อะไรคือ Big Move ที่คนทำธุรกิจทุกคนควรรู้
เคน นครินทร์ ชวน ป้อม-ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ แห่ง TARAD.com ผู้อยู่แวดวงนี้มากว่า 20 ปี ในพอดแคสต์ The Secret Sauce: Executive Espresso
1. JSL Marketplace เริ่มทำรายได้ให้เห็นแล้ว ปี 2563 จะเป็นปีที่ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ (J = JD Central, S = Shopee, L = Lazada) เริ่มทำกำไรมากขึ้น จริงๆ เราเริ่มเห็นกันตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้วว่า Shopee เริ่มเก็บค่าคอมมิชชัน ค่าบริการต่างๆ แล้ว ในขณะที่ Lazada เองเก็บค่าคอมมิชชันมาพักใหญ่ ทุกคนกำลังเริ่มปรับตลาดและมีคนเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น
เมื่อคนเริ่มติดแล้ว ปี 2563 จะเป็นปีที่ผู้ให้บริการเหล่านี้จะทำรายได้ โดยจะมาจากการเก็บค่าคอมมิชชัน ค่าโฆษณา ฯลฯ จะเริ่มเห็นว่ามีการเก็บค่าใช้จ่ายต่างๆ ของ JSL มากขึ้น
2. สงคราม e-Wallet แข่งกันดึงเงินลงกระเป๋า จากปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าธุรกิจ e-Wallet เริ่มมีการตั้งไข่ ฉะนั้นในปี 2563 e-Wallet จะเติบโตมาก
จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าในไตรมาสแรกของปี 2562 การใช้งาน e-Money มีปริมาณการใช้งานทั้งสิ้น 473.27 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2561 มีปริมาณการใช้ 1,510.84 ล้านรายการ มูลค่า 2.09 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2560 ที่มีการใช้งานเพียง 1,272.22 ล้านรายการ มูลค่า 1.26 แสนล้านบาท เรียกได้ว่าสงคราม e-Wallet ในไทยมาถึงแล้ว
ผมแบ่งรูปแบบ e-Wallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลออกเป็น 4 รูปแบบคือ
- Pure Wallet คือเกิดมาเพื่อเป็นวอลเล็ตโดยเฉพาะ เช่น TrueMoney, Rabbit LINE Pay (mPay), xCash, Dolfin, BluePay, AirPay สำหรับปีนี้กลุ่ม Pure Wallet น่าจะมีการฟาดฟันกันหนักมากขึ้น
- e-Commerce Wallet เป็นวอลเล็ตของผู้ที่ให้บริการออนไลน์อยู่แล้ว และขยับมาทำวอลเล็ตเพิ่มขึ้นด้วย เช่น Lazada Wallet, Shopee (AirPay), GrabPay, Get Pay บรรดาอีคอมเมิร์ซวอลเล็ตจะแข่งกันหนักมากขึ้น เพราะทุกคนจะพยายามดึงเงินเข้ามาอยู่ในวอลเล็ตของตนเอง เช่น จะมีโปรโมชันส่วนลดต่างๆ หากลูกค้าจ่ายผ่านวอลเล็ตของตน
- Bank Wallet หรือ Mobile Banking เป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากและมีความได้เปรียบ เพราะหลายๆ คนจะใช้บัญชีธนาคารสำหรับรับเงินเดือน ฉะนั้นเงินจะถูกกองไว้อยู่แล้วในบัญชี และคนอาจจะไม่โอนออกไปที่วอลเล็ตอื่นเท่าไร กลุ่มนี้เหมือนเป็นกระเป๋าหลัก และยังมีดอกเบี้ยให้อีก จึงมีความได้เปรียบกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งธนาคารเองยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่อง
- Mobile Device Wallet เช่น Samsung ก็มี Samsung Pay หรือนาฬิกา Fitbit และ Garmin เองก็มี Fitbit Pay และ Garmin Wallet รวมไปถึง Apple Pay ที่มีข่าวว่าจะเข้ามาเปิดบริการในประเทศไทย สงครามวอลเล็ตจึงน่าจะดุเดือดอย่างแน่นอน
3. สงครามของบริษัทขนส่งสินค้า (e-Logistics) ในปี 2562 นั้นก็เริ่มเห็นกันได้ชัดแล้ว ตอนนี้บริษัทขนส่งที่โฟกัสไปที่ออนไลน์นั้นมีมากเป็นสิบบริษัท หลายบริษัทเพิ่งเปิด หลายบริษัทมาจากจีน ผมลองเก็บข้อมูลผลประกอบการของบริษัทโลจิสติกส์ในประเทศไทยมาเปรียบเทียบกัน พบว่าไปรษณีย์ไทยยังครองแชมป์ทำรายได้สูงสุด กำไรมากที่สุด ทุนจดทะเบียนมากที่สุด และเปิดให้บริการนานที่สุด ส่วนบริษัทที่ขาดทุนมากที่สุดก็คือ J&T Express บริษัทที่เพิ่งเปิดให้บริการล่าสุดปีกว่าๆ คือ Best Inc. สนใจดูรายละเอียดการเปรียบเทียบบริษัทขนส่ง ผมสรุปไว้ที่นี่ครับ
สำหรับปี 2563 บอกได้เลยว่าจะมีบริษัทขนส่งผุดขึ้นมาอีกมาก ยังไม่รวมพวก Grab Express หรือ Get Express ซึ่งเริ่มกระโดดเข้ามาทำบ้างแล้ว ต่อไปการส่งของจะง่ายมากขึ้น เมื่อปีที่แล้วเราอาจพูดถึงการส่งของภายในวันเดียว (Same Day Delivery) แต่เดี๋ยวนี้การส่งของภายในวันเดียวเป็นเรื่องปกติ ต่อไปจะเป็นการส่งภายใน 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
4. ธุรกิจที่ให้บริการเก็บ-แพ็ก-ส่งสินค้า (Fulfillment) มาแรง คนจะไม่ค่อยแพ็กหรือเก็บสินค้าเองแล้ว จะมีบริการพวก Fulfillment เยอะขึ้น คนจะเริ่มใช้บริการ Outsource คือจ้างแวร์เฮาส์ จ้างคนแพ็กของหรือส่งของ ผมบอกได้เลยว่าปีนี้จะชัดมากขึ้นอีก สำหรับ e-Commerce Fulfillment ในไทยอาจมีอยู่ไม่เยอะมากนัก เช่น Trustbox Fulfillment, Siam Outlet, My Cloud Fulfillment นอกจากนี้บริษัทขนส่งหลายเจ้าก็เริ่มมาทำ Lazada หรือ Shopee ก็เริ่มมี Fulfillment เป็นของตัวเอง
5. แบรนด์จะกระโดดเข้าสู่ออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพราะการมาของมอลล์ต่างๆ เช่น Shopee Mall, LazMall และ JD Central เองที่เน้นสินค้าแบรนด์ ดังนั้นแบรนด์จะกระโดดเข้ามาขายออนไลน์มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อบรรดายี่ปั๊ว ซาปั๊ว หรือบรรดาตัวแทนสินค้า เพราะผู้ผลิตสินค้าหรือโรงงานเริ่มขายตรงกับผู้บริโภคเอง
6. การค้าข้ามประเทศ Cross Border เติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งการขายข้ามประเทศจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ Inbound Cross Border สินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่อยู่ใน 3 มาร์เก็ตเพลสดังของไทยจะมีประมาณ 135 ล้านชิ้น หรือราว 77% สินค้าที่เป็นของผู้ค้าไทยประมาณ 39 ล้านชิ้น หรือราว 23% เทรนด์ตอนนี้จะเริ่มชัดแล้วว่าสินค้าจีนเริ่มบุกเข้ามามากขึ้น และเริ่มส่งเร็วมากขึ้นด้วยการเปิด EEC ซึ่งผมมีโอกาสได้เข้าไปคุยกับ EEC ก็เริ่มทราบว่าทาง EEC เองก็มีความกังวลในเรื่องการจัดการ และพยายามที่จะคุยกับจีนในแง่ของการส่งออกโดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานของเขา
อีกเรื่องที่รัฐบาลต้องเน้นก็คือ Outbound Cross Border การนำสินค้าออกทางออนไลน์ ตอนนี้มีหลายมาร์เก็ตเพลสอย่าง Amazon, eBay, Wish, Rakuten และ Alibaba เป็นช่องทางที่สามารถนำสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศได้
อย่างที่ทราบกันดีว่าตัวสินค้าไทยนั้นคุณภาพดีอยู่มาก แต่กลไกหรือวิธีการในการส่งออกเรายังไม่มีตัวช่วยมากเท่าไร ผมจึงมองเห็นว่าเทรนด์ในปีนี้ คนที่จะนำสินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศก็จะเริ่มมีจำนวนมากขึ้น ที่สำคัญรัฐอาจต้องเข้ามาร่วมมือกับกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ และเป็นผู้ประกอบการไทยด้วย โอกาสจึงจะมีเพิ่มมากกว่า
7. Social Commerce ยังโตทะลุ เม็ดเงินมหาศาลจากสื่อโฆษณาออนไลน์จะเทลงมาในโซเชียลมีเดียมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปีที่ผ่านมามียิงการโฆษณาบนเฟซบุ๊กเดือนละเป็นล้านบาท ยิงไปแล้วยอดขายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โซเชียลคอมเมิร์ซโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ต่อเนื่องไปถึงเทรนด์ต่อไป
8. ปีของ Live & Conversational Commerce การค้าแบบไลฟ์และแชตจะมาจริงๆ แล้วปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า Lazada มีไลฟ์สดขายของ Shopee ก็มีไลฟ์ขายของ ทุกคนมองการทำไลฟ์เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขายของออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นปีนี้เราจะเจอแพลตฟอร์มเพื่อการไลฟ์ขายของที่สามารถเก็บเงินได้เลย และมีการทำระบบการจัดการขายของบนไลฟ์อย่างเดียว
9. ข้อมูล e-Commerce นำไปสู่ธุรกิจอื่น ต่อไปคนที่ทำอีคอมเมิร์ซหรือคนที่มีข้อมูลทั้งหมดจะนำไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นข่าวว่า Lazada จับมือกับ KBANK มีการปล่อยกู้ หรือ SCB จับมือกับ Get มีการปล่อยกู้เช่นกัน ฯลฯ คนมีข้อมูลมากขึ้นก็นำไปสู่การปล่อยกู้ได้มากขึ้น ทั้งปล่อยเองและปล่อยผ่านธนาคาร จะเห็นว่าข้อมูลถูกนำมาใช้มากขึ้นในปีนี้
10. ยุครุ่งโรจน์ของ e-Commerce เฉพาะทาง หรือ Vertical e-Commerce เพราะเราคงไปสู้มาร์เก็ตเพลสใหญ่ๆ ที่เป็น Horizontal e-Commerce ไม่ได้ ฉะนั้นอีคอมเมิร์ซอย่าง Konvy มาร์เก็ตเพลสขายเครื่องสำอาง, Pomelo มาร์เก็ตเพลสที่ขายสินค้าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายแฟชั่น, BUILK.com มีมาร์เก็ตเพลสที่ชื่อว่า Yello ขายอุปกรณ์ก่อสร้าง, NocNoc ขายเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ อีคอมเมิร์ซเฉพาะทางจะเริ่มโตมากขึ้น
11. Omni-Channel มาแล้วของจริง ออนไลน์กับออฟไลน์ทุกช่องทางจะประสานเข้าด้วยกันอย่างเห็นได้ชัด
12. ปีที่กฎหมายด้านดิจิทัลมาครบชุด กฎหมาย 6 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล การค้าออนไลน์
- พ.ร.บ. ภาษีอีเพย์เมนต์ เริ่มมีการตรวจสอบข้อมูล การโอนเงินต่างๆ รวมถึงจำนวนครั้งที่โอนแล้ว
- พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ต่อไปนี้การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างจะมีกฎหมายรองรับ จริงๆ มีมานานแล้ว แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น
- พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีมานานแล้ว และมีการปรับปรุงเช่นเดียวกัน
- พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาแล้วจริงๆ
- พ.ร.บ. ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มอบอำนาจให้กับภาครัฐในการควบคุมความมั่นคงของประเทศ
- พ.ร.บ. ภาษี e-Business จะเป็นการเก็บรายได้จากธุรกิจต่างชาติ
เมื่อกฎหมายทั้ง 6 ฉบับนี้ทำงานครบจะสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น บางอย่างก็เป็นข้อดี เช่น ภาษี e-Business ที่ต่อไปหากต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยก็ต้องมีการเสียภาษี และจะทำให้เราได้เห็นตัวเลขสำคัญหลายอย่าง จึงอาจต้องมีการกลับมาคุยกันมากขึ้นในเรื่องของการปรับตัวเนื่องจากกฎหมายเหล่านี้
บทความโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ TARAD.com
สามารถฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย
Credits
Show Creator นครินทร์ วนกิจไพบูลย์
Show Producer ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Show Co-Producer เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Episode Editor เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฏ์
Creative ภัทร จารุอริยานนท์
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ
Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Proofreader ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์