เจาะลึก ‘แอสเสท เวิรด์’ ของเจ้าสัวเจริญ เตรียม IPO ใหญ่สุดในรอบ 6 ปี แตะ 1.9 แสนล้านบาท

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC หนึ่งในธุรกิจหลักของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี กับการเตรียม IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ที่คาดกันว่าจะระดมทุนได้ถึง 4.8 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นเม็ดเงิน IPO ที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 5-6 ปี และจะส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์เป็นอย่างมาก

เคน นครินทร์ ชวน นิค-ถนัดกิจ จันกิเสน นักข่าวเศรษฐกิจของ THE STANDARD มาวิเคราะห์และสรุปความน่าสนใจของเรื่องนี้ ในพอดแคสต์ The Secret Sauce: Executive Espresso

AWC เปิดเผยว่า เดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 6,957 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 22.47 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ที่ราคา IPO 6 บาทต่อหุ้น โดยจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้

ความน่าสนใจของ AWC

1. การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญที่ราคา 6 บาทต่อหุ้น คาดจะได้เม็ดเงินระดมทุนกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงิน IPO ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556

2. ดัน Market Cap หรือมูลค่าตามราคาตลาด ให้พุ่งขึ้นไปแตะ 1.9 แสนล้านบาท และภายในปีหน้าคาดการณ์ว่าอาจพุ่งทะลุไปถึง 2 แสนล้านบาท ด้วย Market Cap ขนาดนี้ จะทำให้เมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะติด SET50 หรือบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุด 50 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ทันที

3. นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ปลุกปั้นบริษัทที่สร้างมากับมือเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในเมืองไทย เพราะที่ผ่านมาเจ้าสัวมักจะซื้อบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว เช่น บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน), บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ไม่นับรวม ‘บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)’ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์

กลุ่มธุรกิจของ AWC

1. กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งมีฐานลูกค้าทั่วโลกกว่า 300 ล้านราย

2. กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) ทั้ง Asiatique The Riverfront, Gateway Ekamai, พันธุ์ทิพย์ และตะวันนา นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นต้น

ปัจุบัน AWC มีสินทรัพย์ 9.2 หมื่นล้านบาท โดยยังไม่รวมโรงแรมที่กำลังจะเพิ่มเข้ามาในพอร์ตอีก 12 แห่ง ซึ่งเมื่อเข้ามาจะทำให้สินทรัพย์มีมูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ส่วนทุนจดทะเบียน 2.4 หมื่นล้านบาท จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 3.2 หมื่นล้านบาท ภายหลังจากขายหุ้น IPO แล้ว

ภายหลังการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว AWC จะมีโครงการในกลุ่ม Hospitality รวมทั้งสิ้น 27 โครงการ จากปัจจุบันที่มีโครงการ 14 แห่ง และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา หรือมีแผนการพัฒนาจำนวน 13 แห่ง ภายใน 5 ปีจะมีห้องพักโรงแรมรวม 8,506 ห้อง ส่วนกลุ่ม Retail และ Wholesale จะมีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 415,481 ตารางเมตร จากทั้งหมด 11 โครงการ

และอีกสิ่งที่น่าสนใจคือบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่ เซ็นทรัล รีเทล ก็มีแผนจะเข้าตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการขยับตัวและการปรับกลยุทธ์ขององค์กรที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก

ปัจจุบัน เซ็นทรัล รีเทล มีธุรกิจค้าปลีกมากมายหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย แฟชั่น, ฮาร์ดไลน์ (สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแต่งบ้าน) และอาหาร ครอบคลุมจุดขายรวม 3,936 แห่งใน 3 ประเทศ ในปี 2561 ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล มีรายได้รวมสูงถึง 240,297 ล้านบาท นับเป็นอัตราการเติบโตราว 8% ในช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

จุดมุ่งหมายในการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ

1. เปิดโอกาสร่วมงานกับพาร์ตเนอร์พันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก (การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะทำให้บริษัทมีความโปร่งใส ชัดเจน สามารถตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ ได้ตามหลักบรรษัทภิบาล)

2. ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลกมาร่วมงาน

3. ใช้ตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ ระดมทุกหลากหลายวิธีการเพื่อขยายการเติบโตของภาคธุรกิจ

สามารถฟังพอดแคสต์ The Secret Sauce
ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่คุณสะดวกหรือใช้อยู่แล้วได้เลย