จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. พร้อมด้วย อารี ไกรนรา ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อชาติ เข้าเยี่ยมสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือนิว แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ที่ถูกรุมทำร้ายได้รับบาดเจ็บ หลังทำกิจกรรมรณรงค์ให้ ส.ว. งดออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าเยี่ยม จตุพรระบุว่า พี่น้องคนเสื้อแดงมาเยี่ยมสิรวิชญ์เพื่อส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจ เกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน อย่างน้อย 2 คนคือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลความมั่นคง
กรณีที่เกิดขึ้นกับสิรวิชญ์ ถือเป็นรายที่ 3 ที่ถูกลอบทำร้าย จึงอยากให้ผู้มีอำนาจติดตามประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีนักศึกษารามคำแหงถูกลอบยิงที่ป้ายรถเมล์ และมีหลายคนที่ถูกคุกคาม แม้ว่าปัจจุบันจะลดความรุนแรงจากการฆ่าเป็นพยายามฆ่าหรือลอบทำร้าย ไม่เว้นแม้แต่พื้นที่หน้าศาลอาญา ตนเห็นว่าสถานการณ์การเมืองจะหนักหากผู้มีอำนาจยังไม่รู้สึก วันนี้ตนมาบอกเพื่อที่จะขอสันติจากผู้มีอำนาจ ความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองมีทุกยุคสมัย ไม่ใช่เฉพาะยุคนี้ และที่ผ่านมาผู้มีอำนาจก็ใช้กระบวนการทางกฎหมายที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม ดังนั้นหน้าที่ของผู้ปกครองบ้านเมืองจึงต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน เนื่องจากการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นหลายครั้ง จึงเป็นห่วงว่าจะลุกลาม และต่อไปจะไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของมือที่สองหรือมือที่สาม
จตุพรยังระบุว่า ส่วนตัวได้คุยกับแกนนำ นปช. ให้วางระยะห่างจากน้องๆ นักศึกษา เพื่อให้เขาได้เป็นพลังบริสุทธิ์ ส่วนพวกตนยืนอยู่ในที่มั่นมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้หนักหนาเกินกว่าจะทนได้ และเห็นว่าเป็นการกระทำที่มากเกินไป
“การทำร้ายร่างกายสิรวิชญ์ เป็นสัญญาณที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และความขัดแย้งของประเทศ เพราะฉะนั้น จึงอยากเรียกร้องไปยังผู้มีอำนาจได้ดำเนินการเพื่อยับยั้ง ไม่ใช่มัวแต่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ว่า สิรวิชญ์ไปทำอะไรมาถึงถูกทำร้าย สิรวิชญ์เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้นำนักศึกษา ไม่มีเรื่องอื่น เราต้องการอยู่ในสังคมที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่แอนิมอล ฟาร์ม ที่จะต้องหาทางออกด้วยการใช้กำลังกัน ความเห็นต่างคือความสวยงาม ดังนั้นเมื่อต้องการเข้าสู่ระบอบรัฐสภา แม้เอาเปรียบทุกทิศทาง แต่ต้องยอมรับว่าความเห็นที่แตกต่างไม่มีวันหมดไป ความแตกต่างมากเท่าไรประชาธิปไตยมากเท่านั้น ไม่ใช่ใครเห็นเป็นเรื่องเลวร้าย ถ้าความขัดแย้งเกิดขึ้นมากจะเอาไม่อยู่ ความสูญเสียเกิดขึ้นในอนาคต ฉะนั้นผมมาวันนี้มาส่งสัญญาณเตือน และนำพระมาฝากนิวเพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัว”
จตุพรให้สัมภาษณ์ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วันที่ 5 มิ.ย. ด้วยว่า เชื่อว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกฯ เพราะ ส.ส. พลังประชารัฐ บวกรวมกับพรรคขนาดเล็ก มีเสียงเกิน 126 แล้ว เมื่อรวมเสียง ส.ว. ก็เกินครึ่ง และสามารถโหวตนายกฯ ได้ แต่ที่น่ากังวลคือเสียง ส.ส. ขั้วพลังประชารัฐจะเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ หรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์ จึงฝากถามประชาธิปัตย์ว่ายังจำคำมั่นที่หาเสียงไว้ว่าจะไม่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ ได้หรือไม่
ทั้งนี้ประเทศไทยเคยมีนายกฯ ในปี 2535 ซึ่งพูดว่ายอมตระบัดสัตย์เพื่อชาติ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน วันนี้รัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยเช่นกัน และอาจอยู่ได้ไม่นาน แม้ว่า ส.ส. บางส่วนพยายามจะบอกว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็บริหารได้ และหากถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เลือกกลับเข้ามาได้ แต่ยืนยันว่าตามประวัติศาสตร์ไม่มีใครกลับมาได้ นอกจากนี้อยากเสนอให้พลเอก ประยุทธ์ ตันสินใจวางมือ โดยลาออกจากการเป็นแคนดิเดตนายกฯ จะเป็นทางออกที่สวยงาม
จตุพรกล่าวต่อว่า อยากให้พลเอก ประยุทธ์ จดจำคำพูดของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในวันที่ท่านเป็นนายกฯ และเป็นต่อได้ เพราะมีพรรคการเมืองหนุน แต่พลเอก เปรมรู้ว่าต้องพอ จึงประกาศอมตะวาจา “ผมพอแล้ว” เดินตามวิถีทางจนเป็นรัฐบุรุษ
“วันนี้ผมเชื่อว่ายกแรกพลเอก ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ แน่นอน ไม่ว่าประชาธิปัตย์จะโหวตหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญนี้ออกแบบให้พลังประชารัฐเป็นรัฐบาล ออกแบบให้พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เพียงแต่ไม่ใส่ชื่อพลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ไว้เท่านั้น”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์