วานนี้ (7 พฤศจิกายน) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ติดตามสอบถามถึงการทำเหมืองสารโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำคัญในการทำปุ๋ยเคมี ถึงผู้รับสัมปทานทั้ง 3 ราย ให้เร่งดำเนินการผลิตเพื่อนำวัตถุดิบเข้าระบบ แนวนโยบายและการสั่งการสำคัญ
ขณะนี้หากผู้รับสัมปทานทั้ง 3 รายในจังหวัดชัยภูมิ อุดรธานี และนครราชสีมา ที่ได้สัมปทานไปยังไม่ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ได้ กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งหาผู้ดำเนินการรายใหม่เข้าดำเนินการแทน เพื่อให้มีวัตถุดิบเข้าไปในระบบการผลิตปุ๋ยเพื่ออุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องให้ได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าติดตามแล้ว
พิมพ์ภัทรากล่าวอีกว่า แร่โพแทชคือวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ตลาดโลกมีความต้องการสูงมาก ในประเทศไทยมีแร่ชนิดนี้มากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศแคนาดา แต่ปัจจุบันมีการขาดแคลนแร่โพแทชวัตถุดิบต้นทางอย่างกว้างขวางมาก ทำให้ปุ๋ยที่ไปถึงมือเกษตรกรมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันความต้องการใช้ปุ๋ยในอุตสาหกรรมการเกษตรก็มีความจำเป็นอย่างมากเช่นกัน
ทั้งนี้ สำหรับโครงการเหมืองแร่โพแทชนั้นผ่านการเห็นชอบจาก ครม. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2523 โดยให้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเชิญชวนบริษัทต่างๆ เข้ามายื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทชในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมี ‘บริษัท ไทยอะกริโก โปแตช จำกัด’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘บริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC)’ ซึ่งมีนายทุนใหญ่อย่างกลุ่มอิตาเลียนไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ยื่นขอสิทธิดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
โดยบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้รับสิทธิพิเศษสำรวจแร่โพแทชในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีจำนวน 12 แปลง เนื้อที่รวม 1.2 แสนไร่ ซึ่งจากการสำรวจพบแหล่งแร่โพแทชที่มีศักยภาพและมีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ 2 แหล่ง
ต่อมาบริษัทฯ ได้ยื่นขอประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่จำนวน 4 แปลง เนื้อที่รวม 2.64 หมื่นไร่ ในปี 2565-2590 ระยะเวลา 25 ปี
อย่างไรก็ตาม ‘โครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี’ นั้นถูกต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่ได้มีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างครบถ้วน และยังเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่กับกลุ่มทุน และความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่ด้วยกันเองตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ งานวิจัยจากสถาบันพระปกเกล้าเรื่องทัศนคติของประชาชนที่มีต่อการทำเหมืองแร่โพแทชที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี 2556 ระบุถึงทัศนคติของประชาชนและชุมชนที่มีต่อโครงการเหมืองแร่โพแทชที่จังหวัดอุดรธานีว่า จะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมาก จะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ และจะมีการสร้างอาชีพใหม่ที่ต่อเนื่อง
ขณะที่ทัศนคติด้านลบจากประชาชนก็มองว่าโครงการเหมืองแร่โพแทชนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนโครงการ โดยเฉพาะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทางด้านน้ำเค็มและน้ำเสียที่เกิดจากการทำเหมืองแร่โพแทช และจะส่งผลกระทบต่อการทำอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพหลักและเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิม รวมไปถึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนได้ เช่น อาจเสี่ยงให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคอื่นๆ ได้ง่ายด้วย
ต่อมากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีมีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองอุดรธานี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้รายงานการไต่สวนตามคำขอประทานบัตรที่ 1/2547 ถึง 4/2547 รวม 4 ฉบับ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในปี 2561 ศาลได้ตัดสินว่าการจัดทำรายงานการไต่สวนทั้ง 4 ฉบับ เป็นรายงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่งผลให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีต้องเริ่มกระบวนการพิจารณาคำขอประทานบัตรที่ 1/2547 ถึง 4/2547 รวม 4 ฉบับ ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ใหม่อีกครั้ง โดยดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 และประกาศที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ในช่วงปลายรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทรวงอุตสาหกรรมที่มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเจ้ากระทรวง ได้ทำหนังสือถึง ครม. เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 เพื่ออธิบายว่าคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ 1/2547 ถึง 4/2547 ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 4 แปลงที่จังหวัดอุดรธานี ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยแร่ รวมทั้งระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 ครม. มีมติเห็นชอบให้เดินหน้าโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชให้ถูกต้อง เหมาะสม คุ้มค่า มีความโปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ (EIA) ให้ครบถ้วน