วันนี้ (10 สิงหาคม) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ถึงลำดับเหตุการณ์ของกลุ่มผู้จัดกิจกรรมพิษณุโลกคนกล้าไม่ก้มหน้าให้เผด็จการ 5 คน ซึ่งมีกำหนดจัดกิจกรรมในวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา เวลา 16.00-18.00 น. ที่ริมตลิ่งแม่น้ำน่าน หน้าวิหารหลวงพ่อ (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก ถูกกลุ่มคนอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหลายนายไม่ระบุสังกัดเข้าล็อกตัว ยึดเครื่องมือสื่อสารและไม่ให้ติดต่อญาติ อีกทั้งยังควบคุมตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อไม่ให้ทำกิจกรรม โดยที่ถูกคุมตัวประมาณ 9 ชั่วโมง ก่อนจะพาขึ้นรถตู้ไปส่งที่บ้าน
สำหรับลำดับเหตุการณ์การควบคุมตัวที่แฟนเพจ ‘พิษณุโลกคนกล้าไม่ก้มหน้าให้เผด็จการ’ ได้โพสต์ มีเนื้อหาดังนี้
เวลาประมาณ 12.00 น. (9 สิงหาคม) แอดมิน A และน้องอีก 1 คน ได้ขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่ลานจอดรถวัดใหญ่ เพื่อมาพบกับพี่ๆ ที่อาสาเข้ามาช่วยงานอีก 3 คน ซึ่งจอดรถกระบะรออยู่ที่ลานจอดรถของวัดแล้ว โดยหลังกระบะรถของพี่เขามีโต๊ะพับ ขนม และป้ายผ้า
ระหว่างที่เราทั้ง 5 คนกำลังคุยกันอยู่ไม่ถึง 10 นาที ได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจำนวนมากกว่า 10 คน อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ได้เข้ามาพูดคุย โดยจะขอรับทราบเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยดูแลความเรียบร้อย โดยบอกว่าจะไม่ยุ่งกับการจัดกิจกรรม แต่จะขอทราบว่าจะทำอะไรบ้าง แล้วจะช่วยดูแลความปลอดภัย ในระหว่างนั้นพี่คนหนึ่งได้ถ่ายคลิป เจ้าหน้าที่จึงพาเราไปคุยในศาลา เมื่อถึงในศาลา เจ้าหน้าที่ได้เข้าจับล็อกและค้นตัว ยึดมือถือของทุกคนไป พวกเราทราบว่ากำลังจะถูกรวบแน่ๆ จึงขอติดต่อญาติและเพื่อนก่อน แต่ไม่ได้รับอนุญาต บอกเพียงว่าให้ความร่วมมือดีๆ จะได้ไม่ต้องใช้กำลังกัน พี่ไม่อยากทำอะไรให้มันรุนแรง เราคนพิษณุโลกด้วยกัน
จากนั้นก็มีรถกระบะมาจอดหน้าศาลา 5 คัน เป็นรถกระบะ 4 ประตู เราทั้ง 5 คนถูกนำตัวขึ้นรถคนละคัน และเจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งได้นำของที่เราเตรียมมาคือขนมและป้ายผ้าขึ้นรถไปด้วย ในระหว่างขึ้นรถไป ได้สอบถามเจ้าหน้าที่บนรถว่าจะนำตัวไปที่ไหน เจ้าหน้าที่ตอบเพียงว่า ไปที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว ไม่ต้องกลัว
รถพาขับไปทางถนนบรมไตรโลกนารถ ผ่านแยกแม็คโครไปทางวัดจุฬามณี แต่เลี้ยวเข้าซอยสันติสุข (ซอยท่าทองรีสอร์ท) และพาเราไปตามทางที่เป็นป่า มีต้นไม้ทึบจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นบ้านพักคล้ายๆ บ้านพักในหน่วยงานราชการเรียงกันเป็นหมู่บ้าน ทุกบ้านมีลักษณะเดียวกัน พวกเราถูกควบคุมตัวที่นั่นทั้ง 5 คน อยู่ในห้องเดียวกัน
หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มคอยควบคุม ไม่มีการให้ข้อมูลใดๆ กับพวกเรา ไม่ว่าเราจะถามอะไรก็ตาม แม้แต่ถามว่าตอนนี้กี่โมงก็ไม่มีใครบอก แต่มีอาหาร น้ำดื่ม น้ำอัดลม น้ำแข็งให้เรา เวลาช่วงใกล้ค่ำ มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาสอบถามการทำกิจกรรม โดยมีประเด็นคำถามคร่าวๆ ดังนี้
- เอาเงินจากที่ไหนมาซื้อของจัดกิจกรรม
- ทำไมต้องไปจัดหน้าวัดหลวงพ่อ
- มีใครอยู่เบื้องหลังหรือคอยซัพพอร์ตไหม และคำถามที่เป็นส่วนตัวอื่นๆ
หลังจากนั้นเป็นช่วงปรับทัศนคติ พี่เขาเล่าเรื่องความเป็นมาของชาติไทย ผูกโยงกับความสำคัญของเมืองพิษณุโลกว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์มาตั้งแต่สุโขทัยจนถึงปัจจุบัน พิษณุโลกก็เป็นที่ตั้งของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ขอให้พวกเราสำนึกและภาคภูมิใจในความเป็นคนจังหวัดพิษณุโลก อย่าใช้จังหวัดพิษณุโลกสร้างความแตกแยก เพราะที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ พิษณุโลกเราสำคัญถึงขนาดที่ว่า ถ้าไม่มีพิษณุโลก ป่านนี้ไม่มีประเทศไทยแล้ว พร้อมด้วยการกล่าวอ้างถึงพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองพิษณุโลกว่าได้สร้างคุณูปการอะไรให้ประเทศไทยบ้าง นอกจากนั้นยังอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในจังหวัดพิษณุโลก และเรื่องเล่าตำนานปรัมปราไร้ตรรกะเหตุผลพิสูจน์ไม่ได้อีกมากมายเกี่ยวกับสถานที่ที่เราจะใช้จัดกิจกรรม
ในระหว่างนั้นมีการพูดคุยกันในเชิงโต้แย้งในข้อเท็จจริงบ้าง แต่ก็ไม่มีอะไร ทุกคนต่างเชื่อในมุมของตัวเอง และเราไม่อินกับมายาคติเหล่านั้น ไม่ว่าจะปั่นแค่ไหนก็ตาม ช่วงเวลามืดแล้วผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้พาเราขึ้นรถตู้ บอกว่าจะส่งกลับบ้านและที่พัก บนรถตู้ได้ยินพวกเขาคุยกันว่าได้ไปส่งน้องแกนนำผู้หญิงถึงที่บ้านแล้ว นั่นหมายถึงแอดมิน C เขามาส่งบ้านผมเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่เข้าบ้าน ผมดูเวลาคือเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าๆ
โดยสรุป สิ่งที่พวกผมได้รับการปฏิบัติโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมีดังนี้
- ถูกชิงทรัพย์ คือโทรศัพท์มือถือ
- ใช้กำลังประทุษร้าย คือการจับล็อกเพื่อค้นตัว
- กักขังหน่วงเหนี่ยว จำกัดอิสรภาพ
ทั้งหมดกระทำโดยบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่สวมเครื่องแบบ ไม่แสดงตน ไม่แจ้งสังกัด ทางเรามีความจำเป็นต้องหาความจริง และเปิดโปงเรื่องราวทั้งหมดให้สังคมได้รับรู้ว่าการคุกคามประชาชนยังมีอยู่จริง
ทางเราทุกคนยอมรับว่าเกิดความหวาดกลัว และได้รับการช่วยเหลือจากเครือข่ายนำตัวออกจากพื้นที่เมืองพิษณุโลกแล้ว และจะเข้าร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ ในการดำเนินการอื่นๆ ต่อไป เพื่อความปลอดภัย มีผู้ใหญ่ในหน่วยงานภาครัฐยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ประชาชนทุกคนที่อ่านข้อความนี้ จงใช้วิจารณญาณของตัวท่านเองว่าจะเลือกที่จะเชื่อรัฐหรือเชื่อประชาชน ต่อจากนี้เราจะรวบรวมหลักฐาน พยานวัตถุ พยานบุคคล และเราจะเข้าให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนต่างๆ รวมทั้งเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะสามารถดำเนินการช่วยเหลือทางกฎหมายต่อไป แต่จะทำด้วยความระมัดระวัง อาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย เพราะตอนนี้ยอมรับตรงๆ ว่ามีความระแวงอย่างมาก กระผมขอยุติบทบาทกิจกรรมในนามของกลุ่มพิษณุโลกคนกล้าไม่ก้มหน้าให้เผด็จการแต่เพียงเท่านี้ และจะเข้าร่วมต่อสู้กับพี่น้องคนไทยในเครือข่ายภาคประชาชนอื่นๆ ต่อไป ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มาจากจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นโลกในระดับเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ไม่ใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างที่คนพิษณุโลกส่วนหนึ่งมีมายาคติแบบนี้ฝังหัว สิ่งที่เราเคารพมากที่สุดไม่ใช่แผ่นดิน มีเพียงอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทั้งปวงเท่านั้นที่ผมเคารพอย่างสูงสุด ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ห่วงใยครับ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า