×

ฟิล ‘Golden’ โฟเดน ถึงเวลาไอ้หนูแข้งทองจะเป็นพระเอกหรือยัง?

23.08.2023
  • LOADING...

ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดบิ๊กแมตช์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ถึงแม้ว่าแชมป์เก่าจะเป็นฝ่ายครอบครองบอลได้มากกว่า แต่การเจาะทะลวงในแดนสุดท้าย (Final Third) เป็นไปได้อย่างยากลำบาก

 

ตั้งแต่ได้ เอ็ดดี ฮาว เข้ามาคุมทัพเจ้านกสาลิกาก็กลายเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นเกมรับได้ทั้งดุดันและเหนียวแน่นจนน่าอึดอัดสำหรับคู่แข่ง ไลน์แบ็กโฟร์ของพวกเขาตั้งแต่ คีแรน ทริปเปียร์, ฟาเบียน ชาร์,​ สเวน บอตมัน และ แดน เบิร์น มีครบทุกอย่าง ทั้งการจัดการ การยืนตำแหน่ง การอ่านเกม ไปจนถึงความดุดัน และอารมณ์นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ใคร

 

ไม่นับกองกลางจอมขยันอย่าง โชลินตัน, บรูโน กิมาไรส์ และน้องใหม่ ซานโดร โตนาลี ที่เป็นสายครบเครื่องได้ทั้งบู๊และบุ๋นทั้ง 3 คน และยังมีตัวริมเส้นที่พร้อมลงมาช่วยอย่าง แอนโธนี กอร์ดอน กับ มิเกล อัลไมรอน

 

ความแข็งแกร่งของทีมจากเหมืองถ่านหินนี้ ทำให้ทีมที่เล่นได้อย่างเป็นทีมเวิร์กและมีความสร้างสรรค์ที่สุดอย่างแมนฯ ซิตี้ ก็เหนื่อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในฤดูกาลนี้พวกเขาเสียตัวครีเอทีฟประสบการณ์สูงอย่าง อิลคาย กุนโดกัน และ ริยาด มาห์เรซ ไป

 

คนที่เป็นที่พึ่งพามาตลอดอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ก็มีอาการบาดเจ็บ โดยหนักถึงขั้นต้องผ่าตัดและพักการเล่นยาวอีก 4-5 เดือน

 

ภาพของ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ที่วิ่งส่ายไปส่ายมาพยายามทำทางให้ แต่บอลมาไม่ถึง หรือมาถึงก็ไม่ได้พร้อมจะเล่นได้ในจังหวะเหมือนเวลา ‘KDB’ จ่ายให้ ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วแมนฯ ซิตี้ จะเจาะเกมรับของนิวคาสเซิลได้หรือไม่?

 

แต่แล้วในจังหวะการเล่นเร็ว ฟิล โฟเดน ก็พาบอลทะลวงขึ้นมาก่อนไหลให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ จับแต่งบอลด้วยน้ำหนักพอดี ก่อนสับไกได้สมบูรณ์แบบ บอลพุ่งเป็นจรวดเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสุดตระการตา

 

ความมหัศจรรย์ของโฟเดนในวันนั้นทำให้หลายคนคิดแล้วว่า หรือจะถึงเวลาแล้วที่ไอ้หนุ่มแข้งทองคนนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกกับเขาเสียที?

 

ลูกรักของเป๊ป

 

หากไม่นับ ลิโอเนล เมสซี แล้ว นักเตะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา รักและหวงเป็นไข่ในหินมากที่สุดก็น่าจะเป็น ฟิล โฟเดน คนนี้

 

เพราะนับตั้งแต่เริ่มส่อแววว่าจะส่องประกายเป็นเพชรเม็ดงามในเกมฟุตบอลระดับเยาวชน เป๊ปดูแลประคบประหงมโฟเดนแบบใกล้ชิดประหนึ่งลูกในไส้มาโดยตลอด โดยเป๊ปจะปล่อยให้มีโอกาสได้ลงสนามก็ต่อเมื่อเป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งก็เริ่มตั้งแต่เกมแรกในการพบกับฟายนอร์ด ในรายการแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2017 เลยทีเดียว

 

ในขณะที่โฟเดน ตามประสาวัยรุ่นก็อยากจะมีโอกาสได้ลงไปวาดลวดลายบ้าง เพราะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ซึ่งเขาเป็นดาวเด่นของทีมร่วมกับ รีอาน บรูวสเตอร์ อดีตกองหน้าดาวรุ่งของลิเวอร์พูล (ที่ปัจจุบันโดนดองในทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) แต่เป๊ปไม่เคยปล่อยง่ายๆ

 

ใครถามทีไรก็พูดในทำนองเดียวกันว่าให้ “อดทน”

 

เรื่องนี้เป็นเพราะเป๊ปมองขาดว่า หากทะเล่อทะล่าส่งลงสนามไปในสไตล์ ‘ถีบลูกสิงโตตกเขา’​ มันมีโอกาสที่โฟเดนอาจหลงทางหรือเกิดอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับนักเตะดาวรุ่งที่กระดูกกระเดี้ยวยังไม่แข็งแรงพอ

 

ไม่นับเรื่องของความเข้าใจในแท็กติกการเล่นที่ซับซ้อนและไม่เคยหยุดนิ่งของเป๊ป ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในเกมอย่างมาก

 

เป๊ปเริ่มเปิดโอกาสให้โฟเดนมากขึ้นในเวลาต่อมา ก่อนที่จะค่อยๆ พิสูจน์ตัวเองว่าเขาดีพอที่จะเป็นตัวหลักของทีมได้ พรสวรรค์ในการเล่นของเขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการพาบอลไปกับตัว หรือการผ่านบอลที่คมกริบ ไปจนถึงการทำประตู

 

 

โตไม่พอหรือพ่อไม่ไว้ใจ?

 

แต่ถึงจะเล่นได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมายังพูดได้ยากว่าโฟเดนกลายเป็น ‘เสาหลัก’ ของทีมในแบบเดียวกับที่เดอ บรอยน์, รูเบน ดิอาส, กุนโดกัน, โรดรี หรือฮาลันด์ เป็นให้กับทีม

 

มากที่สุดคือจะมีช่วงที่เขาแทรกตัวขึ้นมาเป็นตัวจริงได้บ้าง แต่เป๊ปก็พร้อมที่จะดรอปเขาไว้ข้างสนาม เพื่อรอส่งลงไปเปลี่ยนแปลงเกมในสถานการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น

 

ในฤดูกาลที่แล้วที่แมนฯ ซิตี้ คว้า ‘เทรเบิลแชมป์’ โฟเดนได้โอกาสลงเล่นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกแค่ 22 นัด จากจำนวนทั้งหมด 32 นัดที่เขาได้ลงเล่น ส่วนในแชมเปียนส์ลีกได้โอกาสในการลงตัวจริงเพียง 3 ครั้งเท่านั้น

 

สำหรับบางคนมันอาจเป็นคำถามว่า ทำไมถึงยังไม่ได้เป็นตัวหลักกับเขาเสียที? ทั้งๆ ที่ว่ากันด้วยฝีเท้าก็ไม่มีอะไรต้องสงสัย และประสบการณ์ในการเล่นก็มีไม่ใช่น้อยแล้ว

 

ตั้งแต่แจ้งเกิดในปี 2017 โฟเดนลงสนามให้กับแมนฯ ซิตี้ ไปแล้ว 221 นัด (นับจนถึงเกมล่าสุด) ทำไปแล้ว 60 ประตู และเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วถึง 5 สมัย ไม่นับแชมเปียนส์ลีก, เอฟเอคัพ 2 สมัย และลีกคัพ 4 สมัย

 

อย่างไรก็ดี โฟเดนไม่เคยโวยวายหรือส่งสัญญาณว่าเขาไม่พอใจเป๊ปแต่อย่างใด

 

หรือต่อให้คิดในใจก็ไม่เคยปริปาก (เป๊ปบอกว่า “ก็ลองดู”!)

 

พรสวรรค์ที่จะไม่สูญเปล่าอีกต่อไป

 

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ เรื่อง ‘บทบาท’ การเล่นของโฟเดน

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้โอกาสในการลงเล่นหลากหลายตำแหน่ง แล้วแต่ว่านายใหญ่ที่เป็นดั่งพ่ออย่างเป๊ปจะจัดสรรให้ ไม่ว่าจะเป็นปีกขวา ปีกซ้าย กองหน้าในแบบ False Nine หรือแม้แต่ต้องถอยลงมาเป็นมิดฟิลด์บ้างก็มี

 

แน่นอนว่าส่วนใหญ่เขาทำได้ดี แต่ในมุมมองของนักวิเคราะห์อย่าง ไมกาห์ ริชาร์ดส เห็นว่าทำแบบนี้เป็นการเอาพรสวรรค์ของเขาไปทำให้เสียของ

 

ตำแหน่งที่โฟเดนควรจะเล่นจริงๆ คือ ‘หมายเลข 10’ เป็นเพลย์เมกเกอร์ในแบบเดียวกับที่เดอ บรอยน์ หรือกุนโดกัน เป็น

 

“เราคุยกันมานานเท่าไรแล้วว่าโฟเดนจะต้องไปเล่นเป็นหมายเลข 10 เอาเขาไปเล่นปีกแบบนี้เป็นการเสียของ เขามีพรสวรรค์ในการเล่นสูงมาก และจำนวนโอกาสที่เขาสร้างให้กับเออร์ลิง ฮาลันด์ (ในเกมกับนิวคาสเซิล) ก็เยอะมาก เขาเล่นในบทนี้ได้แน่นอน” ริชาร์ดสกล่าวในรายการ The Monday Night Club ทาง BBC

 

“เพียงแต่มันก็น่าสนใจว่าถ้า เควิน เดอ บรอยน์ กลับมาแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็อยากเห็น ฟิล โฟเดน ลงเล่นในตำแหน่งนี้ และมีเวลาในสนามมากขึ้น”

 

ฟิล โฟเดน กับ ฮูเลียน อัลวาเรซ อนาคตของแมนฯ ซิตี้

 

โฟเดนกับการเป็นหมายเลข 10

 

เพื่อเป็นการเสริมไอเดียว่าโฟเดนควรจะเล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์ มีตัวเลขสถิติที่น่าสนใจมาประกอบ

           

ย้อนกลับไปในเกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งแมนฯ ซิตี้ เสมอกับไบรท์ตัน 1-1 วันนั้นโฟเดนได้โอกาสลงสนามด้วย แต่เป็นตำแหน่งปีกซ้าย ในขณะที่ตัวทำเกมกลางสนามเป็นงานของกุนโดกันและเดอ บรอยน์

           

วันนั้นโฟเดนได้สัมผัสบอลทั้งหมด 32 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นทางริมเส้น ไม่ได้ขยับเข้ามาด้านในมากนัก ก่อนจะโดนเปลี่ยนตัวออกไปในช่วงต้นของครึ่งหลัง

           

ส่วนกุนโดกันได้บอล 102 ครั้งด้วยกัน

           

ทีนี้ในเกมกับนิวคาสเซิลเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเล่นอย่างยากลำบาก เพราะคู่แข่งนั้นนอกจากระบบการเล่นจะยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีระเบียบวินัยด้วย ทำให้โอกาสในการสร้างสรรค์เกมลดน้อยลงไป แต่โฟเดนก็ยังได้บอลมากถึง 69 ครั้ง

 

ในจำนวนนี้เขายังสร้างโอกาสให้เพื่อนได้ถึง 7 ครั้งด้วยกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำได้ในการลงสนามพรีเมียร์ลีก และแน่นอนว่าพื้นที่ Heat Map ซึ่งจับตำแหน่งการเคลื่อนไหวของเขากระจายไปทั่วสนาม

 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป๊ปวางบทให้เขาเป็นตัวทำเกมหลักของทีม โดยแม้ตำแหน่งบนหน้ากระดาษจะเป็นปีกขวา แต่ถึงเวลาเล่นจริงจะหุบเข้าด้านใน โดยให้ ไคล์ วอล์กเกอร์ แบ็กขวา เติมขึ้นมา ‘ปักหมุด’ กดดัน แดน เบิร์น และ แอนโธนี กอร์ดอน แทน

 

ที่เหลือคือความสามารถของโฟเดนล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสบอลแรก วิชันในการอ่านเกม หรือแม้แต่การสร้างสรรค์โอกาส

 

และสำคัญที่สุดคือ ความกล้าหาญที่จะก้าวขึ้นมาแบกรับทีมในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งเรื่องนี้สำคัญที่สุด

 

จากฟอร์มการเล่นของโฟเดน และการที่เดอ บรอยน์ บาดเจ็บรุนแรง ทำให้มีโอกาสสูงที่เขาจะได้ก้าวขึ้นมารับบทนี้ต่อเนื่องในการสร้างโอกาสให้กับฮาลันด์และอัลวาเรซ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งที่เป๊ปพยายามปั้นในบทกองหน้าตัวต่ำ ที่มีหน้าที่ในการส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย แบ่งเบาภาระของกองหน้าชาวนอร์เวย์

 

The Analyst เปิดเผยสถิติว่า ในฤดูกาลที่แล้วโฟเดนสร้างสรรค์โอกาสเฉลี่ยต่อ 90 นาที อยู่ที่ 1.9 ครั้ง

           

ส่วนเดอ บรอยน์ ทำได้อยู่ที่ 2.5 ครั้ง

 

ตัวเลขสถิตินี้อาจเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจว่า โฟเดนจะยกระดับตัวเองขึ้นมาใกล้กับจอมทัพชาวเบลเยียมที่อายุอานามเริ่มมากขึ้น (32 ปี) ได้หรือยัง

 

เพียงแต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือ เมื่อมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ‘พระเอก’​ ของทีมแล้ว ก็ต้องใช้โอกาสนี้ให้ได้คุ้มค่าที่สุด

 

ฟ้าจะสีทองผ่องอำไพหรือไม่ ก็อยู่ที่ตัวของเขาเอง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising