วันนี้ (16 ธันวาคม) พรรคเพื่อไทย เปิดตัว 3 ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ภายใต้แคมเปญ ‘ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้’ ประกอบด้วย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อํานวยการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ก่อนเริ่มเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ได้มีการเปิดคลิปวีทีอาร์ ซึ่งเป็นภาพการทำงานของนายกรัฐมนตรีในนามพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ในสมัยที่เป็นพรรคไทยรักไทย มาจนถึงปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ยังได้ให้แคนดิเดตฯ ทั้ง 3 คนได้ขึ้นกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ พร้อมเปิดนโยบายล็อตแรกของพรรคเพื่อไทย อีกด้วย
‘จุลพันธ์’ อาสาทำช่วยคนไทยไร้จน สานต่อ ‘หวยเกษียณ-ล้างหนี้’
จุลพันธ์ได้แสดงวิสัยทัศน์ช่วงหนึ่งระบุว่า ที่ผ่านมาตนได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อทำให้พรรคเพื่อไทยกลับมาแข็งแรงและเป็นความหวังให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการยกเครื่องในเรื่องของการสื่อสาร ควบคู่ไปกับทำงานในสภาให้เข้มแข็งและตรวจสอบอย่างจริงจัง โดยมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์และคณะกรรมการนโยบายคอยรับฟังเสียงของนักวิชาการ รวมถึงประชาชน ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยละทิ้งประชาชน
จุลพันธ์ กล่าวว่า ในวันนี้ตนยืนอยู่ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อบอกกับทุกคนว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมแล้วที่จะยกเครื่องประเทศไทย ซึ่งตนมีความฝันที่ชัดเจนว่าจะใช้ความรู้ด้านเศรษฐกิจมาปลดโซ่ตรวนให้กับประชาชนคนไทย วันนี้จึงขอมาเสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพื่อความฝันของตัวเอง แต่มาขอความไว้วางใจจากประชาชน เพื่อทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่คือการทำให้คนไทยไร้จน และหลุดพ้นจากการยากจนอย่างถาวร
เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการสร้างพรุ่งนี้ที่ดีกว่าด้วยการสร้างหลักประกันเงินออม ปลดหนี้ และสร้างรายได้ใหม่ ตามนิยามของประชาชนในสังคมประชาธิปไตย คือมีความมั่นคง มีอิสรภาพ และมีโอกาส ซึ่งตรงกับแนวคิดของพรรคเพื่อไทยที่ว่า ‘มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี’
ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยจะยังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ผ่าน 2 นโยบายเร่งด่วน คือ ‘หวยเกษียณ’ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้สานต่อ พร้อมย้ำว่าจะทําให้ได้ภายใน 3 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาล เพื่อไปเสริมกับสวัสดิการอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนโชคเป็นหลักประกันให้กลายเป็นความมั่นคงในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังเสนอนโยบาย ‘ล้างหนี้ให้คนไทย’ เพื่อไม่ให้ประชาชนเผชิญหนี้สินตามลําพัง โดยจะสานต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับกลุ่มต่อไปนี้ กลุ่มหนี้นอกระบบ, กลุ่มหนี้ NPL, กลุ่มหนี้เกษตรกร, กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มลูกหนี้ดี เพื่อให้มีพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ให้ประชาชนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
‘สุริยะ’ สานต่อ ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-บ้านเพื่อคนไทย’
ด้าน สุริยะระบุว่า ขอบคุณผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยที่ให้ตนเป็นแคนดิเดต ก่อนจะเข้ามาการเมืองตนทำงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งพบข้อติดขัดในกฎเกณฑ์ จึงต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เมื่อได้รับโอกาสจาก ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ตนได้เข้ามาทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย และทำให้การแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งในส่วนของ ปตท. และ ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) มี Market Cap หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นมหาศาล
และหนึ่งในความภาคภูมิใจ คือ การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิได้ตามกำหนด ทําให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบิน ในสมัยที่ตนดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สามารถลบคำวิจารณ์ แต่ในปี 2549 มีการรัฐประหารทำให้สนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้รับการพัฒนาต่อ จนกระทั่งตนเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอีกครั้ง โดยได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดการรอคิว และช่วยผลักดันอับดับของสนามบินให้เป็นอันดับ 38 ซึ่งสนามบินนี้ถือเป็นประตูสู่เวทีโลก ซึ่งหากกลับมาเป็นรัฐบาลพร้อมสาน
นอกจากนี้ได้เสนอนโยบาย ‘รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย’ และย้ำว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนําจัดตั้งรัฐบาลภายใน 3 เดือน พี่น้องประชาชนจะได้ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทันที รวมถึงการยกเครื่องฟีดเดอร์ (Feeder) ระบบคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายประชาชน อาทิ รถเมล์แอร์ 10 บาท และนโยบาย ‘บ้านเพื่อคนไทย’ ให้คนไทยมีบ้านใกล้ระบบคมนาคมและสามารถจ่ายไหว
“บางคนบอกว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ในจุดท้าทาย เราไม่สามารถกลับไปอยู่จุดเดิมได้อีก ก็เชื่อว่าทุกคนในที่นี้ไม่ได้คิดแบบนั้น เรายังมีไฟ เรายังมีฝัน เรายังมีอุดมการณ์เดียวกัน จะไปทํานโยบายดีๆ ให้กับพี่น้องประชาชนของเรา ที่ผมเข้ามาทำการเมืองเพื่อแก้ไขคุณภาพชีวิตของประชาชน และยังเชื่อมั่นพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มเปี่ยม มีคนรุ่นใหม่ทำงานเป็นทีม และมีวิสัยทัศน์ และด้วยความเชื่อมั่น วันนี้จึงอาสาเข้ามาทำงานที่ยิ่งใหญ่เพื่อนำทุกท่านไปทำงานเพื่อคนไทยทุกคน” สุริยะกล่าว
‘ยศชนัน’ อาสาแก้วิกฤตประเทศ ยกเครื่อง GDP สานต่อเจตนารมณ์ ทรท. สู่ พท.
ขณะที่ ยศชนันกล่าวว่า ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ให้โอกาสเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ซึ่งตนเกิดมาในครอบครัวที่บ้านเป็นข้าราชการ ซึ่งพ่อแม่มักจะสอนเสมอว่าเราโชคดีที่เกิดเป็นคนไทย เพราะสำหรับประเทศไทยทุกอย่างเป็นไปได้
ยศชนัน ยังเล่าเรื่องราวให้รู้จักตัวตนว่า ในปี 2551 ตนเข้าบรรจุเป็นอาจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยเริ่มจากการเป็นรองคณบดีฝ่ายวิจัย ดูแลเรื่องการต่างประเทศ บัณฑิตศึกษา และการสื่อสารองค์กร ก่อนจะย้ายมาเป็นผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดูแลเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ การเชื่อมโยง SMEs เข้ากับภาคอุตสาหกรรม ดูแลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในประเทศและต่างประเทศ และตําแหน่งสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นรองคณบดี ดูแลเรื่องการวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งหมด และเป็นศาสตราจารย์สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์
สําหรับชีวิตการทํางานวิจัย สิ่งที่ภูมิใจที่สุด คือการสร้างอุปกรณ์เชื่อมต่อสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเหลือคนพิการตั้งแต่ต้นคอลงมาที่ไม่สามารถขยับได้ขั้นรุนแรง ด้วยฝีมือคนไทย เพื่อให้คนพิการกลับมามีความหวัง ใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อีกครั้ง รวมถึงการทำสตาร์ทอัพตรวจจับการหลับในแบบเรียลไทม์เพื่อช่วยเหลือชีวิตคนได้นับล้าน และอีกสิ่งที่เราทำ คือ การเข้าร่วมแข่งขันไซบอร์กโอลิมปิกส์ (Cyborg Olympics) ที่จัดขึ้นเพื่อผู้พิการ
ยศชนันกล่าวว่า เรื่องราวของตนเป็นเรื่องราวของคนธรรมดา ที่คิดเสมอว่าสําหรับคนไทยทุกอย่างเป็นไปได้ แค่ขออย่างเดียวขอโอกาสและแรงสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะในทุกภาวะวิกฤตจะมีคนไทยอาสาเข้ามาช่วยเสมอ ซึ่งในปี 2540 วิกฤตต้มยํากุ้ง ทุกคนหมดหวัง แต่มีคนกลุ่มหนึ่งตั้งพรรคไทยรักไทยและปลดวิกฤตนี้ให้กับประเทศไทยได้ แม้หลังจากนั้นจะไม่ได้รับความยุติธรรมมากพอก็ตาม แต่ก็ไม่ปัญหา สิ่งที่ประเทศไทยกําลังเดินไปข้างหน้าเราสามารถทําต่อได้
และในปี 2568 ปัญหาเดิมๆ กลับเข้ามาอีกครั้ง ที่ผ่านมาเป็นแค่เศรษฐกิจไทยตกต่ำ แต่ทั่วโลกไม่มีปัญหา ครั้งนี้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ รวมถึงมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของเรา พยายามต่อสู้เรื่องนี้มาตลอด ทั้งนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร, สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, เศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ที่พยายามแก้ไขปัญหา แต่ปัญหานั้นไม่ได้แก้ไขได้โดยง่าย ต้องใช้พื้นฐานในการแก้ไขปัญหา แต่การที่เราเปลี่ยนนายกฯ ปีละครั้ง และทำได้ขนาดนี้ต้องขอชื่นชม
“ปัจจุบันประเทศไทยยังโชคดี แม้ทุกคนอาจจะนึกว่าไม่มีทางที่ประเทศไทยจะกลับมาได้ แต่ผมจะใช้ชื่อว่าแยกแห่งความหวัง วันนี้ถ้าเรายังทําการเมืองแบบเดิม เราจะเลี้ยวไปด้านซ้ายเจอกับความมืดมิด ถ้าวันนี้เราเริ่มใหม่ปรับโครงสร้างใหม่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เทคโนโลยี บวกกับความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ และผมในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย พร้อมจะอาสานําประเทศไทยหลุดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้” ยศชนันกล่าว
ยศชนันยังได้เสนอนโยบายในการวางรากฐานประเทศให้มีรายได้สูง ซึ่งจะต้องตั้งต้นจาก GDP โดยมีการอัปเกรดเครื่องยนต์ที่มีอยู่ใน 3 เสาหลักของ GDP คือ ภาคการเกษตร, ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการบริการ โดยจะต้องเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีในทุกๆ ด้าน ซึ่งสามารถเริ่มได้ทันทีเมื่อพรรคเพื่อไทยเข้าเป็นรัฐบาล และเตรียมคนเพื่อรองรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างความเชื่อมั่น สร้างความปลอดภัย ความมั่นคงทางการเมือง สิ่งแวดล้อม และทําสงครามป้องกันการคอร์รัปชันทุกรูปแบบให้เป็นวัฒนธรรมของประเทศไทย เพื่อสุดท้ายเราจะเห็นภาพ GDP ไปข้างหน้า ทำให้คนไทยทุกคนได้รับโอกาสการเติบโตที่เท่ากันไม่ว่าจะเกิดที่ไหนในผืนแผ่นดินไทย
ยศชนัน ยังได้ยกคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นแรงบันดาลใจเสมอมาเกี่ยวกับการเป็นผู้นําที่นํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสู่ประเทศไทยที่ดีขึ้น พร้อมย้ำว่า สิ่งที่เราทํา ไม่ได้เพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ทําเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจของประชาชน ซึ่งการเดินทางครั้ง นี้ไม่ใช่การเดินทางของพรรคเพื่อไทย แต่เพื่อให้พวกเราได้กลับมาช่วยกันสร้างประเทศไทยของเราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“วันนี้พวกเราทุกคนจากพรรคไทยรักไทย พรรคที่อาจไม่ได้รับความยุติธรรม ทุกคนกลับมาที่บ้านของเรา บวกกับคนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทย เรากลับมารวมกัน ผมมั่นใจว่าเราทําได้ เริ่มจากวันนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ ยกเครื่องประเทศไทยเพื่อไทยทําได้ ถ้าเพื่อไทยทําได้ ประเทศไทยทําได้แน่นอน” ยศชนันกล่าว





















