วันนี้ (20 พฤศจิกายน) จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาระบุว่า หากมีการยื่นอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ก็พร้อมชี้แจง แต่ถ้าเป็น มาตรา 151 นายกฯก็พร้อมยุบสภาว่า ตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีตอบสื่อ ถึงอำนาจในการยุบสภาได้หรือไม่ได้ ท่านใช้คำว่าเอาตาม ‘อนุทิน’ แต่ตนมองว่า น่าจะเข้าใจผิด เพราะกระบวนการในการยื่นอภิปรายตามมาตรา 151 ถูกกำหนดชัดว่าเมื่อถูกยื่นแล้ว และใช้คำว่าเสนอญัตติ ไม่ใช่การบรรจุญัตติสู่สภา จะไม่สามารถยุบสภาได้
ฉะนั้นจะไม่มีข้อบังคับการประชุมหรืออะไร ที่ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ซึ่งเจตนารมณ์ของ รัฐธรรมนูญชัดเจนในเรื่องนี้ กำหนดว่าเมื่อมีการเสนอญัตติแล้ว จะยุบสภาไม่ได้ เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ดังนั้น คงไม่ใช่การตามใจอนุทิน แต่กระบวนการในการยื่นตามมาตรา 151 หรือ 152 อันนี้ต้องตามใจ ‘จุลพันธ์’ ต้องตามใจพวกตน เพราะพวกตนเป็นฝ่ายค้าน เรามีหน้าที่ในการตรวจสอบ ซึ่งกระบวนการตรวจสอบต้องมาดูว่า ความผิดและความเสียหายต่อประเทศอยู่ในขั้นไหน
จุลพันธ์กล่าวอีกว่า ถ้าเป็นไปตามมาตรา 152 ก็เป็นเพียงการเสนอแนะ รับฟังความคิดเห็น ซึ่งหากตนถามกลับว่าความเสียหาย ความในเรื่องการไปแก้ไขคดีเขากระโดงและเรื่องฮั้ว สว. หากให้ข้อเสนอแนะไปจะแก้หรือไม่ กระบวนการในการทุจริตคอร์รัปชัน หากมีเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เสนอแนะไปจะหยุดหรือไม่ ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องของการเสนอแนะเพียงอย่างเดียว แต่ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ
กระบวนการพวกนี้เป็นอำนาจของฝ่ายค้าน และเป็นอำนาจของสส. ในการเสนอญัตติ ตรงนี้ขอให้พวกตนดำเนินการดีกว่า ท่านในฐานะที่เป็นรัฐบาล เมื่อถูกตรวจสอบแล้ว ก็ควรจะเปิดให้มีการอภิปราย รับฟัง ตอบข้อซักถาม และข้อสงสัย หากท่านตอบได้กระจ่างชัดแน่นอนว่าคะแนนจะเป็นของท่าน เมื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งท่านประสบชัยชนะอย่างแน่นอน เราก็อยากให้กระบวนการตามประชาธิปไตยเดินไปตามครรลองของมัน
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีออกระบุว่ารัฐบาลเพิ่งทำงานมาเดือนกว่า จุลพันธ์กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง พรรคภูมิใจไทยถูกออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพียงแค่ 2 สัปดาห์พรรคภูมิใจไทยก็ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพียงแต่วันนั้นเสียงไม่พอ รวบรวมเสียงจากพรรคประชาชนยังไม่ได้ ประจวบกับเหตุการณ์ที่แพทองธาร ถูกศาลฯ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ กระบวนการในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงได้ยุติและหยุดยั้งไป
ดังนั้น ตนจึงดูเรื่องความเสียหายต่อประเทศเป็นหลัก และมีความเป็นห่วงในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่น ในชั้นกรรมาธิการแล้วก็ทำงานอย่างเต็มที่ แต่เรื่องการตรวจสอบรัฐบาล คงไม่ได้เอาเรื่องอื่นมาเป็นปัจจัย หากเกิดความเสียหายต่อประเทศ หน้าที่ของพวกตนในการตรวจสอบ คือทำงานได้เต็มที่ในสภา
เมื่อถามว่า หากดูไทม์ไลน์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสาม คือ ช่วงสิ้นเดือนธันวาคม และตามกรอบยุบสภาของรัฐบาลคือช่วงสิ้นเดือนมกราคม จึงเหลือประมาณ 1 เดือน กรอบเวลาในการยื่นอภิปรายจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ จุลพันธ์กล่าวว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องกรอบเวลา ต่อให้เหลือเวลา 3 วันแล้วมีความเสียหายต่อประเทศ มีการทุจริตคอร์รัปชันจะให้พวกตนหยวนๆ คงทำไม่ได้ เราก็ต้องตรวจสอบ
ทั้งนี้ หากพวกตนไม่มีหลักฐานที่ดีพอ ไม่มีข้อมูลเป็นที่ประจักษ์ สุดท้ายความเสียหายก็จะเกิดกับพวกตนเอง ฉะนั้นเราจึงต้องระมัดระวัง และตอนนี้เราก็อยู่ในกระบวนการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ได้มากเพียงพอแล้ว
เชื่อได้ว่ากระบวนการที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และเราจะทำให้ดีที่สุด เพื่อชี้ให้เห็นถึงประเด็นปัญหาที่มีรัฐบาลนี้อยู่ต่อไป ส่วนหากท่านจะตัดสินใจยุบสภา ก็เป็นอำนาจของท่าน ตนบังคับไม่ได้ พร้อมย้ำว่าพวกตนพร้อมยุบสภา
ส่วนการยื่นอภิปรายจำเป็นต้องให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามผ่านไปก่อนใช่หรือไม่ จุลพันธ์กล่าวว่า ได้ฝากกับทีมยุทธศาสตร์ของพรรค ในเรื่องการดำเนินการยื่นญัตติ และต้องดูจังหวะเวลาที่มีความเหมาะสมที่สุด ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปกลับมา และไม่ได้มีการเตรียมที่จะยื่นมาตรา 152
จุลพันธ์ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทย เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นสิทธิของแต่ละพรรคที่พยายามผสมภาพที่ไม่ได้เป็นฝ่ายการเมืองเข้ามา แต่ตัวจริงมีเพียงหนึ่งเดียว คือ อนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคงสลัดภาพความเป็นภูมิใจไทยเก่าไม่ได้ แต่ก็เป็นความพยายามของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอยู่ที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีก 2 คน ถือว่า มาเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วก็ต้องพิสูจน์ว่า การข้ามจากภาคเอกชนมาสู่การเมืองจะทำประโยชน์ให้กับประชาชนสมความตั้งใจหรือไม่
ส่วนพรรคเพื่อไทยจะใช้จังหวะไหนเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จุลพันธ์กล่าวว่า อยากให้คนรู้สึกอยากรู้เพื่อที่จะได้ติดตาม คาดว่า ภายในเดือนธันวาคมนี้จะมีความชัดเจน และเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพูดคุย หารือและสรุปผล แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นคนนอก หรือคนใน เชื่อว่าเปิดมาคงจะตื่นเต้นกันและจะเป็นที่ประทับใจ
ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเตรียมเปิดตัวบ้านใหญ่ชลบุรี และสุพรรณบุรีในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ มองอย่างไรที่บ้านใหญ่ไหลไปรวมที่นั่น จุลพันธ์กล่าวว่า เรื่องการขยับสับเปลี่ยนช่วงใกล้การเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติ เราไม่ได้พะวงอะไร ซึ่งในส่วนของแต่ละจังหวัดก็มีผู้สมัครเข้ามามากมาย และจะคัดสรรคนที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ทำงานกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง มีอุดมการณ์ตรงกับพรรค และต้องเป็นคนที่มีโอกาสจะได้รับการเลือกตั้ง เราทำงานเต็มที่ทุกเขต เราห่วงเรื่องการทำงานของเรามากกว่า ไม่ได้พะวงเรื่องของพรรคการเมืองอื่น


