Pfizer-BioNTech เปิดเผยผลการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 ของวัคซีนต้านโควิด-19 Pfizer-BioNTech ในเยาวชนอายุ 12-15 ปี จำนวน 2,260 คน ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 100% และทนต่อผลข้างเคียงได้ดี
โดยหลังจากได้รับวัคซีนโดสที่ 2 เป็นเวลา 1 เดือน พบว่า วัคซีนกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของแอนติบอดีได้อย่างแข็งแกร่ง และดีกว่าในการทดสอบกับบุคคลอายุ 16-25 ปีที่เกิดขึ้นก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Pfizer-BioNTech ระบุเพิ่มเติมว่า ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับเยาวชนอายุ 12-15 ปีนั้นคล้ายกับบุคคลอายุ 16-25 ปี โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ อาการปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน, ความอ่อนเพลีย และอาการไข้
ทั้งนี้ ในการทดสอบดังกล่าวมีผู้ได้รับวัคซีนและยาหลอกใกล้เคียงกัน และผู้เข้าร่วมการทดสอบจะถูกตรวจสอบเพื่อป้องกันและดูแลความปลอดภัยเป็นเวลา 2 ปีหลังได้รับวัคซีนโดสที่ 2
การทดสอบนี้นับเป็นการต่อยอดความเข้าใจที่นักวิจัยได้จากการทดสอบวัคซีนในผู้ใหญ่ ซึ่งนักวิจัยสามารถกำหนดจำนวนของแอนติบอดีที่ถือเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันโรคที่พบในผู้ใหญ่ และตรวจสอบระดับของแอนติบอดีในเด็กเพื่อให้ทราบว่าวัคซีนกำลังให้การป้องกันโรค และนี่เองที่ทำให้การทดสอบในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นโดยทั่วไปต้องการจำนวนผู้เข้าร่วมน้อยกว่าอาสาสมัครในการทดสอบกับผู้ใหญ่
ทั้งนี้ อัลเบิร์ต เบอร์ลา ซีอีโอของ Pfizer ระบุว่า จะยื่นข้อมูลดังกล่าวให้แก่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพื่อเสนอแก้ไขการอนุญาตใช้งานวัคซีนในภาวะฉุกเฉิน เพื่อให้ครอบคลุมเยาวชนอายุ 12-15 ปี ในไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้ และจะยื่นคำขอแบบเดียวกันกับหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ทั่วโลก ด้วยความหวังว่าจะสามารถให้วัคซีนกับประชากรในกลุ่มอายุนี้ได้ก่อนเริ่มปีการศึกษาหน้า
ขณะที่ ดร.ปีเตอร์ โฮเตซ ผู้อำนวยการร่วมของศูนย์พัฒนาวัคซีนที่โรงพยาบาลเด็กเท็กซัส ระบุกับ CNN ว่า แม้ว่าวัคซีนยังต้องรอการประเมินเพื่ออนุญาตให้ใช้ในกลุ่มเยาวชน แต่นี่ก็น่าจะเป็นเสมือน ‘ไฟเขียว’ ในการให้วัคซีนแก่เยาวชนในกลุ่มอายุนี้ และจุดสำคัญก็คือ เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการให้วัคซีนแก่เยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไป รวมถึงนักเรียนชั้นมัธยม ซึ่งจะเป็นข่าวดีในสหรัฐฯ สำหรับทั้งคุณครูและพนักงานในโรงเรียน
นอกจากการกลับคืนสู่ห้องเรียนของเด็กๆ แล้ว การป้องกันโควิด-19 ให้กับคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ผ่านการให้วัคซีนก็ถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์อื่นๆ ที่ยังคงแพร่กระจายไปทั่วสหรัฐฯ เช่นสายพันธุ์ B.1.1.7 หรือสายพันธุ์สหราชอาณาจักร ที่ อูเกอร์ ซาฮิน ซีอีโอของ BioNTech ยกตัวอย่างเอาไว้
Pfizer ระบุกับ CNN ด้วยว่า ความปลอดภัยที่เห็นได้จากการทดสอบในเยาวชนจากการทดสอบครั้งนี้ทำให้ Pfizer ตัดสินใจทดสอบวัคซีนกับเด็กที่มีอายุน้อยลงไปอีก โดยการทดสอบวัคซีน Pfizer-BioNTech ระยะที่ 1, 2, 3 ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 11 ปีเริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีนในการทดสอบครั้งใหม่นี้มีอายุระหว่าง 5-11 ปี และ Pfizer-BioNTech ยังวางแผนจะเริ่มให้วัคซีนแก่เด็กอายุ 2-5 ปีกลุ่มแรกในสัปดาห์หน้า ตลอดจนขยายการฉีดวัคซีนลงไปยังเด็กกลุ่มอายุ 6 เดือนถึง 2 ปีต่อไป ซึ่งการทดสอบนี้ทางบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีเด็ก 4,644 คนร่วมในการทดสอบ และคาดว่าจะได้ผลการทดสอบภายในสิ้นปี 2021
ขณะที่ผู้ผลิตวัคซีนอีกรายอย่าง Moderna ก็กำลังทดสอบวัคซีนกับเด็กและเยาวชน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอายุ 12-17 ปี และกลุ่มอายุ 6 เดือน – 11 ปีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ระบุว่าเด็กอายุ 11 ปีและต่ำกว่านี้จะยังไม่ได้รับวัคซีนภายในปีการศึกษาที่กำลังจะมาถึง โดย ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ชี้ว่า เด็กกลุ่มนี้อาจต้องรอไปถึงไตรมาสแรกของปี 2022 ส่วน ดร.บัดดี้ ครีช ผู้อำนวยการโครงการวิจัยวัคซีนของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ และผู้ตรวจสอบในการทดสอบวัคซีนในเด็กของ Moderna ก็เชี่อว่า เด็กกลุ่มนี้จะยังไม่ได้รับวัคซีนจนถึงอย่างน้อยเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม 2021
ภาพ: Jaap Arriens / NurPhoto via Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: