วันนี้ (18 พฤศจิกายน) พล.ต.ต. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวสรุปสถานการณ์การชุมนุมของเครือข่ายประชาชน ราษฎรหยุด APEC 2022 ที่เคลื่อนขบวนออกจากลานคนเมือง มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเกิดการปะทะกับทางฝั่งเจ้าหน้าที่ ว่าเบื้องต้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ฝ่าฝืนข้อกำหนดและเงื่อนไขในการชุมนุม เรื่องการห้ามเคลื่อนขบวน และตำรวจได้แจ้งเตือนเป็นระยะแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมมีการฝ่าฝืน ขว้างปาสิ่งของ ทำลายรถกระบะของตำรวจเสียหาย และต่อสู้ขัดขวางทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้กำลังเข้าจับกุมผู้กระทำความผิด จากนั้นผู้ชุมนุมไม่หยุด และมีการวางเพลิงบนรถตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ ตามยุทธวิธี ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น
พล.ต.ต. อาชยนได้กล่าวสรุปจำนวนผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมทั้งสิ้น 25 คน จากที่มีผู้มาร่วมชุมนุมกว่า 300 คน ถูกนำตัวไปดำเนินคดีในข้อหาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่, วางเพลิง, ทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย, ทำร้ายร่างกาย, ความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.ความสะอาด ส่วนข้อหาอื่นๆ อยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มเติม หากเข้าข่ายความผิดก็จะมีการดำเนินคดี ซึ่งยังคงให้สิทธิผู้ชุมนุมในการติดต่อญาติและทนายความได้
ส่วนกรณีที่มีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่า ตำรวจมีแผนการดูแลความปลอดภัยของสื่อมวลชน คือต้องมีการลงทะเบียนสื่อ ต้องสวมปลอกแขน และกำหนดพื้นที่ปลอดภัยของสื่อมวลชนไว้แล้ว
แต่จากภาพที่ปรากฏออกมาว่าเจ้าหน้าที่อาจปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุนั้น ทั้งประเด็นการขว้างปาแก้วจนสื่อมวลชนโดนลูกหลง การทำร้ายสื่อมวลชน การใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุม ตลอดจนการใช้ระเบิดควัน กระบวนการเหล่านี้ไม่อยู่ในอุปกรณ์ยุทธวิธี ก็จะมีการตรวจข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยยังไม่สามารถด่วนสรุปได้ เนื่องจากเหตุการณ์เพิ่งเกิด แต่ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมและชี้แจงให้กับประชาชนทราบโดยเร็วเพื่อคลายข้อสงสัย
พล.ต.ต. อาชยนกล่าวอีกว่า ยอดผู้บาดเจ็บ ทราบว่ามีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บที่คิ้วขวา 1 คน และสื่อมวลชนอีก 1 คน ส่วนผู้บาดเจ็บรายอื่นๆ ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม
ด้าน พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นย้ำกำชับให้ตำรวจที่เข้าควบคุมผู้ชุมนุม เน้นการเจรจา หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง แต่หากเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องป้องกันตนเอง หรือจับกุมผู้กระทำความผิดร้ายแรง ให้ดำเนินการตามความเหมาะสม และต้องสัดส่วนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น