วันนี้ (16 กันยายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม สส. เชียงราย เขต 7 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคประชาชนแพ้ให้พรรคเพื่อไทย และสวนทางกับโพลสำรวจความเห็นประชาชนที่พรรคประชาชนมีคะแนนนิยมนำ โดยระบุว่า เรามีการวิเคราะห์มาโดยตลอด น้อมรับในเสียงของประชาชนที่มอบให้ ไม่อยากโทษว่าเป็นปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ประชาชนจะเล็งเห็นว่า คะแนนเสียงของเขาจะส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล และจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น
“ส่วนผลการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา ผมน้อมรับและต้องยอมรับตามข้อเท็จจริงว่า เป็นการเลือกตั้งซ่อมที่ผู้สมัครทั้งสองคนอยู่ในฝ่ายค้าน ประชาชนอาจรู้สึกว่า เลือกไปอาจจะอยู่ได้ในรัฐบาลเฉพาะกิจที่ 4 เดือนก็ยุบสภาหรือไม่ หรือไม่ได้ สส. ในฝ่ายรัฐบาล และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็ต้องวิเคราะห์กันต่อไป แต่ทั้งนี้ ยังเชื่อมั่นในเรื่องความนิยมของพรรคอยู่ว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะส่งผลให้พรรคประชาชนเดินหน้าไปเป็นฝ่ายบริหารได้” ณัฐพงษ์กล่าว
สำหรับการเตรียมยุทธศาสตร์ของพรรคประชาชนสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า ณัฐพงษ์กล่าวว่า จากเสียงสะท้อนของประชาชนเห็นว่า อยากได้รัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละภาคส่วนที่อยู่นอกฝ่ายการเมือง ยืนยันว่า พรรคประชาชนมีความพร้อมในการเปิดโฉมหน้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดถัดไปถ้าได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารประเทศ ยืนยันว่า เป็นผู้ได้รับการยอมรับในแต่ละวงการแน่นอน โดย ครม. ของพรรคประชาชน จะมีทั้งคนในพรรคและคนนอก
“พร้อมที่จะเป็น ครม. ที่ดีที่สุดในการบริหารประเทศ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าสู่การเลือกตั้งอย่างเต็มตัว จึงยังไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นผม แต่ยืนยันว่าครั้งนี้ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมากกว่า 1 คนแน่นอน แต่คนอื่นๆ ขอยังไม่บอกว่าใคร” ณัฐพงษ์กล่าว
ส่วนที่นิตยสาร TIME ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่จะตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายกว่าณัฐพงษ์นั้น ณัฐพงษ์ระบุว่า เป็นสิ่งที่แต่ละคนสะท้อนมา แต่ส่วนตัวมีความตั้งใจจะอาสาเข้ามาแก้ปัญหาสำคัญให้กับประเทศ
“นอกจากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังมีเรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง การต่อต้านการทุจริต เชื่อว่าประชาชนทุกกลุ่ม ที่เคยเลือกพรรคการเมืองใดล้วนอยากเห็นประเทศไทยเดินไปในทิศทางนี้ และให้คำมั่นต่อประชาชนทุกคนได้ว่า นี่คือเจตจำนงและเป้าหมายของพรรคประชาชน” ณัฐพงษ์กล่าว
ส่วนหากได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว จะมีผู้มาร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติหรือไม่นั้น ณัฐพงษ์ระบุว่า เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่ส่วนตัวคงไม่ได้เอาปัจจัยนี้เป็นหลักในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร ให้เสียต่อหลักการหรือจุดยืนของตนเอง แต่ยืนยันว่า พรรคประชาชนยังรักษาหลักการเดิม เพียงแต่วิธีสื่อสารต่อประชาชนอาจมีการปรับเปลี่ยนไป
ล็อกเป้าอภิปรายรัฐบาลในการแถลงนโยบาย
ทั้งนี้ ณัฐพงษ์ยังย้ำถึงการเตรียมอภิปรายในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าได้เริ่มกระบวนการมาระยะหนึ่งแล้ว พรรคประชาชนเปิดให้มีการลงชื่อของ สส. แสดงตัวในการอภิปรายดังกล่าว โดยแบ่งเนื้อหาส่วนที่มีการตั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์ ต่อบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งใน ครม. และนโยบายของรัฐบาลที่เล็งเห็นว่า ภายใต้กรอบ MOA ที่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นโยบายที่อาจสร้างภาระผูกพันให้รัฐบาลชุดต่อไป อาจมีความเสี่ยงทำให้ประเทศตกอยู่ใต้ผลผูกพันจากภาระการคลังมากขึ้น
“มีการพุ่งเป้าเรื่องคุณสมบัติของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งใน ครม. ใครที่มีประวัติไม่ดี หรือที่วิญญูชนเห็นได้ว่า อาจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องคดีหรือผลประโยชน์ต่างๆ หรือนโยบายที่ไม่เหมาะสมภายใต้กรอบ 4 เดือน จะเป็นกรอบหลักที่จะอภิปรายในการแถลงนโยบาย” ณัฐพงษ์กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาชนยังกล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ รักชนก ศรีนอก สส. กทม. พรรคประชาชน ว่าพรรคประชาชนไม่ได้ร่วมรัฐบาล จึงทำให้มีรัฐมนตรีคนนอกเข้ามาร่วมได้มาก จนทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโควตาของพรรคประชาชนหรือไม่นั้น โดยระบุว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของรักชนก ยืนยันว่า พรรคประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลแต่อย่างใด ขอให้ดูการทำหน้าที่ของพรรคประชาชนในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
“เราพร้อมที่จะอภิปรายทั้งในเรื่องคุณสมบัติส่วนบุคคลของรัฐมนตรีแต่ละท่าน รวมถึงนโยบายของรัฐบาลด้วย เพียงแต่ช่วงนี้ ในฐานะหัวหน้าพรรค หากมีการให้ความเห็นอะไรออกไปก่อน และมีการเปลี่ยนแปลงจริงขึ้น เราจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรคประชาชนเข้าไปมีส่วนในการจัดตั้ง ครม. และทำให้เราต้องรับผิดชอบและแบกรับแทนพรรคภูมิใจไทยในการจัดตั้งฝ่ายบริหาร ซึ่งเรายืนยันมาโดยตลอดในหลักการว่า เราเป็นฝ่ายค้าน” ณัฐพงษ์กล่าว
