วานนี้ (29 พฤศจิกายน) รายงานจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ระบุว่า จีนมีแนวโน้มครอบครองหัวรบนิวเคลียร์จำนวน 1,500 หัว ภายในปี 2035 หากจีนยังคงเดินหน้าพัฒนาอาวุธดังกล่าวเทียบเท่ากับในระดับปัจจุบัน ซึ่งตัวเลขดังกล่dาวได้ตอกย้ำความกังวลของสหรัฐฯ ในประเด็นการขยายคลังแสงนิวเคลียร์ของจีน แม้ว่ารายงานคาดการณ์ที่ออกมานี้จะไม่ได้บ่งชี้ว่าจีนเร่งพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์เร็วขึ้นกว่าเดิมก็ตาม
เจ้าหน้าที่กลาโหมอาวุโสของสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวเกี่ยวกับรายงานประจำปีของเพนตากอนเกี่ยวกับกองทัพจีน โดยระบุว่า จีนมีการพัฒนาคลังอาวุธอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดคำถามที่ว่า จีนเล็งที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่เน้นการป้องกันหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันจีนมีหัวรบนิวเคลียร์กว่า 400 หัว โดยเพนตากอนคาดการณ์ว่า จีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์ 1,000 หัว ภายในปี 2030 และขยับไปที่ 1,500 หัว ภายในปี 2035
ก่อนหน้านี้จีนเคยกล่าวว่า คลังแสงของตนมีขนาดเล็กกว่าของสหรัฐฯ และรัสเซียมาก และพร้อมที่จะเปิดการเจรจาเสมอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ จะต้องลดคลังอาวุธนิวเคลียร์ให้อยู่ในระดับเดียวกับจีนเท่านั้น
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งสตอกโฮล์ม (SIPRI) ระบุว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ มีหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองอยู่ที่ 3,700 หัว โดยมีหัวรบราว 1,740 หัวที่พร้อมใช้งาน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้ส่งสัญญาณในระหว่างการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า จีนจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านกลยุทธ์การป้องกัน ซึ่งเป็นคำที่จีนมักใช้อธิบายเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งคำกล่าวนี้ก็ได้สร้างความกังวลต่อประเด็นไต้หวัน แม้สหรัฐฯ จะมองว่าจีนยังไม่คิดบุกไต้หวันในเร็วๆ นี้ก็ตาม
แฟ้มภาพ: GREG BAKER / AFP via Getty Images
อ้างอิง: