×

Pent Up Demand กับ Wealth Effect ภาพลวงตาที่นักลงทุนต้องมองให้ออก

30.06.2020
  • LOADING...

ช่วงที่การระบาดของโควิด-19 กำลังหมดไปจากประเทศไทยหลังจากที่เรา ‘ปิดเมือง’ มาหลายเดือนนั้น สิ่งที่ผมเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญมี 2 เรื่องคือ 

 

เรื่องแรกคือการเกิด ‘Pent Up Demand’ นั่นก็คือมีความต้องการของสินค้าและบริการหลายอย่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ‘ความต้องการที่ถูกอั้นไว้’ ของผู้บริโภคในสินค้าบางอย่าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการท่องเที่ยว โดยเฉพาะของคนที่มีเงินมากพอที่จะเที่ยวได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือต้องห่วงว่าเงินจะหมดไปมาก 

 

และเรื่องที่สองก็คือ ‘Wealth Effect’ on Demand ซึ่งก็คือความมั่งคั่งของผู้บริโภคที่มากขึ้น หรือในกรณีของโควิด-19 ก็คือความมั่งคั่งที่หดหายหรือลดลงไป ซึ่งจะมีผลต่อความต้องการซื้อสินค้าของคนในประเทศ

 

ช่วงนี้ในบางธุรกิจและในบางพื้นที่ เราก็มักจะได้รับ ‘ข่าวดี’ ที่ว่าหลังจากมีการเปิดเมืองบางส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผลประกอบการหรือยอดขายก็ดีหรือกระเตื้องขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่น โรงแรมระดับหรูในเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพฯ เช่น หัวหิน มียอดผู้เข้าพักเต็มหรือเกือบเต็มอย่างรวดเร็วหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กลายเป็นศูนย์ติดต่อกันเกิน 14 วันหรือมากกว่านั้น และนั่นก็ทำให้ผม ‘ประหลาดใจ’ และรู้สึกมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิด เมื่อผมเดินทางไปพักผ่อนที่นั่นเมื่อ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผมก็ได้ข่าวว่าร้านอาหารและภัตตาคารที่เริ่มเปิดในห้างต่างก็มีลูกค้าเข้ามากินกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่ายังมีข้อกำหนดให้ต้องเว้นระยะห่างอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าคนจะ ‘อั้น’ กันมานาน คือไม่ได้ออกไปเดินห้างและแวะกินอาหารในห้าง เขาเหล่านั้นส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนชั้นกลางกินเงินเดือน แล้วก็ไม่ได้ตกงานจนต้องกระเหม็ดกระแหม่ ไม่สามารถมากินอาหารภัตตาคารได้ ดังนั้นพวกเขาก็มากินอาหารอร่อยๆ ที่ไม่ได้กินมานาน มันเป็น Pent Up Demand หรือความต้องการที่อั้นไว้ในช่วงที่ออกนอกบ้านไม่ได้ และร้านปิดเป็นเวลาหลายเดือน

 

สัปดาห์ที่แล้วผมได้ไปพักผ่อนอีกครั้งที่สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ในโรงแรมที่ค่อนข้างหรู ซึ่งดูเหมือนจะมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับหัวหิน สวนผึ้งน่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเป็นหลัก มีคนต่างชาติน้อย วันที่เข้าพักนั้นก็เป็นแบบเดียวกับที่หัวหิน นั่นคือโรงแรมมีลูกค้าที่ค่อนข้างจะเต็ม หรืออย่างน้อยก็พอใช้ได้ ไม่เหงา 

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อออกท่องเที่ยวในวันต่อมาผมก็เริ่มเห็นความแตกต่าง ร้านอาหารส่วนใหญ่หรือแม้แต่ร้านดังก็ยัง ‘ไม่มีคน’ หลายแห่งก็ยังไม่เปิด สภาวะแห่งความเงียบเหงานั้นสัมผัสได้ ผู้บริโภคระดับคนกินเงินเดือนที่ยังต้องระวังว่าเศรษฐกิจยังเลวร้ายอยู่นั้นอาจยังไม่พร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้นการท่องเที่ยวย่านสวนผึ้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเป็นหลักนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่กลับมาดี

 

Pent Up Demand นั้นมักจะเกิดหลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาวะวิกฤต ในช่วงวิกฤตนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ คนก็มักเลี่ยงที่จะใช้เงิน โดยเฉพาะกับสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บ้าน และเครื่องใช้ภายในบ้าน ที่มักจะสามารถเลื่อนการซื้อไปได้ เพราะของที่มีอยู่ก็ยังพอใช้ได้และมีอายุการใช้ยาว เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นและของที่มีอยู่ก็ใกล้ ‘หมดสภาพ’ พวกเขาก็จะเริ่มซื้อกันอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการและยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากการซื้อรอบแรกแล้ว ยอดขายก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติตามภาวะของเศรษฐกิจและความต้องการปกติของผู้บริโภค 

 

ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง ยอดขายของสินค้าทุกอย่างก็จะฟื้นตัวดีขึ้นตาม อย่างไรก็ตาม ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวหรือกำลังถดถอยลงด้วยซ้ำ ยอดขายสินค้าต่างๆ รวมถึงยอดขายสินค้าที่เกิดจาก Pent Up Demand ก็จะทรุดตัวลงต่อไป

 

การที่ผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มมากน้อยแค่ไหนนั้น สิ่งหนึ่งที่มีผลมากก็คือความรู้สึกว่าเขารวยหรือมีความมั่งคั่งมากน้อยแค่ไหน คนที่รู้สึกว่าตนเองมีเงินหรือความมั่งคั่งสูง และรู้สึกว่าในอนาคตเขาจะยังสามารถหาเงินได้อย่างมั่นคง ก็จะกล้าใช้เงิน กล้าซื้อของที่ต้องการมากกว่าคนที่คิดว่าตนเองจน รายได้ในอนาคตไม่แน่นอน และจะลดลง โดยที่ความมั่งคั่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของเม็ดเงินอย่างเดียว แต่รวมถึงทรัพย์สมบัติ เช่น บ้านและที่ดิน หลักทรัพย์ เช่น หุ้นและพันธบัตร ทอง และอื่นๆ ก็ถือเป็นความมั่งคั่งทั้งสิ้น 

 

และถ้าสินทรัพย์เหล่านั้นมีราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะใช้เงินซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู คำกล่าวที่ว่า ‘ในยามที่ตลาดหุ้นดี การขายคอนโดฯ ราคาแพงจะดีตาม’ นั้นเป็นความจริง และในยามที่ราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเร็วแล้วคนจะบริโภคสินค้าทั่วไปมากขึ้นก็เป็นความจริงเช่นกัน 

 

ตรงกันข้าม ในยามที่ทรัพย์สินหลักๆ ทั้งอสังหาริมทรัพย์และหุ้นตกหนัก สินค้าโดยเฉพาะที่มีราคาแพงและไม่ใช่สินค้าจำเป็นก็จะมียอดขายตกลงไปมาก ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของ Wealth Effect

 

ภาวการณ์ของเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ ผมเองมีความรู้สึกว่าคนรวยหรือคนที่มีทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งสูงนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกระทบอะไรมากนัก เมื่อมีการเปิดเมือง พวกเขาก็กลับมาบริโภคสิ่งที่ถูกอั้นไว้และไม่สามารถทำได้อย่างสะดวกมานาน เช่น การท่องเที่ยว และการซื้อบ้านราคาแพง ที่ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นอย่างไม่คาดคิดเมื่อเทียบกับบ้านราคาถูก 

 

ในเวลาเดียวกัน คนชั้นกลางนั้นน่าจะถูกกระทบมากจากวิกฤตโควิด-19 เพราะการปิดกิจการจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเดินทาง ทำให้คนจำนวนเป็นล้านต้องตกงานหรือทำงานน้อยลง พวกเขาต้องใช้เงินเก็บมาประทังชีวิต ทำให้ความมั่งคั่งลดลง และในขณะเดียวกันรายได้ในอนาคตก็ดูไม่แน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าจนลง และในความเป็นจริงหลายคนอาจต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้น ดังนั้นพวกเขาก็จะใช้จ่ายน้อยลง โดยเฉพาะหลังจากที่ผ่านช่วง Pent Up Demand ไปแล้ว

 

ผมไม่รู้ว่า Pent Up Demand จะหมดลงเมื่อไร แต่โดยธรรมชาติก็จะค่อยๆ หมดไปตามเวลาที่ผ่านไป ประเด็นสำคัญต่อจากนี้ก็คือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำลงมาก อานิสงส์จากการที่ภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศยังถูกปิดอยู่ และดูเหมือนว่าแม้จะเปิดก็เพียงเล็กน้อย กับเรื่องของการส่งออกที่ชะลอตัวลงอย่างแรงในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นี่จึงทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะที่เป็นคนชั้นกลางลงมาจะใช้จ่ายน้อยลง เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเอง ซึ่งคงจะถูกกระทบหนักจนรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งที่น้อยลง ทั้งสองกลุ่มนี้ก็จะคงบริโภคน้อยลง ดังนั้นสินค้าที่มีราคาปานกลางถึงแพงที่พวกเขาใช้ โดยเฉพาะบ้านราคาถูก รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า น่าจะถูกกระทบหนักเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน และนี่ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤต เช่น วิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 เช่นเดียวกัน 

 

ในขณะที่สินค้าราคาแพงที่ ‘คนรวย’ ใช้เองนั้น ผมคิดว่าน่าจะถูกกระทบน้อยกว่า เหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าทรัพย์สินที่มีค่ามาก เช่น บ้านและที่ดิน รวมถึงหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์มีราคาลดลงไม่มาก ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าจนลงมากจนต้องลดการบริโภคลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

สินค้าจำเป็นราคาถูกและคนต้องกินใช้ประจำวันนั้นน่าจะฟื้นกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมในเวลาไม่นาน เพราะอุปสรรคต่างๆ ในการซื้อและบริโภคหมดไป คนไทยนั้นถึงจะรู้สึกว่าจนลงอย่างไรก็ยังพอบริโภคสินค้าประจำวันได้ สินค้าบางอย่างนั้นอาจจะมีความต้องการมากขึ้นเมื่อคนจนลง เช่น บะหมี่สำเร็จรูปที่มีราคาถูกมาก ซึ่งทำให้คนที่จนลงหันมาบริโภคแทนอาหารที่แพงกว่า นักเศรษฐศาสตร์เรียกสินค้าแบบนี้ว่าเป็น ‘Inferior Goods’

 

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นักลงทุนจะต้องตระหนักว่าความต้องการสินค้าของบริษัทที่เราลงทุนนั้นเป็นแบบไหนและอยู่ในสถานะใด อย่าเพิ่งดีใจว่ายอดขายฟื้นตัวแล้วและกำลังเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน เพราะมันอาจจะเป็นแค่ Pent Up Demand ก็ได้ สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวแล้ว การวิเคราะห์สถานการณ์ระยะยาวซึ่งก็คือการคาดการณ์ความต้องการที่อิงอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของลูกค้าจะเป็นเครื่องป้องกันความผิดพลาดของเราได้

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising