บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ (10 กุมภาพันธ์) เป็นวันแรก โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 3.98 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,672 ล้านบาท ขณะที่ราคาเปิดการซื้อขายอยู่ที่ 5.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.52 บาท หรือ 38.19% จากราคา IPO จากนั้นราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และทำราคาสูงสุดในช่วงเปิดการซื้อขายที่ 6.15 บาท
บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง หรือ PEACE ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเพื่อขาย ประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ Cordiz, The Glamor และ Cher
ปัจจุบัน PEACE มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างขายทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,700 ล้านบาท และโครงการในอนาคต 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
PEACE มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 336 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 84 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.98 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 334.32 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,671.6 ล้านบาท
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 8.47 เท่า โดยคำนวณจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.47 บาท โดยมี บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
PEACE มีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังจากหักภาษี และทุนสำรองตามกฎหมาย และสำรองอื่นๆ ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลจะขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ กำไรจากการดำเนินงาน แผนการลงทุนต่างๆ ในอนาคต
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่
- กลุ่มครอบครัวศิริโสภณา ถือหุ้น 42.45%
- กลุ่มครอบครัวเตชะไกรศรี ถือหุ้น 4.83%
- ชุมพล พรประภา ถือหุ้น 4.56%
ประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง (PEACE) เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน ทำให้สามารถขยายธุรกิจโครงการในเชิงรุกมากขึ้น เมื่อประกอบกับอัตราหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับต่ำจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสในการสร้างผลประกอบการให้เติบโต โดย PEACE จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตตามแผนงานที่วางไว้
“มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ราว 3 แสนล้านบาท ซี่งบริษัทมองว่ายังมีพื้นที่ให้บริษัทสามารถขยายโครงการใหม่ๆ ได้อีกมาก” ประสพศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ PEACE วางเป้าหมายรายได้จะเติบโต 2 เท่าในระยะ 3 ปีจากนี้ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท และมียอดแบ็กล็อก 600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2565
สำหรับแนวโน้มราคาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ประเมินว่าน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากผลกระทบด้านเงินเฟ้อ ราคาที่ดิน และค่าก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามบริหารจัดการต้นทุนเพื่อลดผลกระทบต่อลูกค้า
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP