ยามอยู่ในสนาม พอล ป็อกบา คือหนึ่งในสตาร์ที่จะถูกจับจ้องมากที่สุดไม่ว่าจะจากกองเชียร์ฝั่งตัวเองหรือคู่แข่งก็ตาม
แต่การจับจ้องนั้นไม่ได้หมายถึงแค่การวาดลวดลายระดับเวิลด์คลาส ซึ่งดาวเตะวัย 29 ปีมีคุณสมบัติทุกสิ่งที่ผู้เล่นกองกลางระดับโลกคนหนึ่งควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นการพาบอลฝ่าแนวรับด้วยจังหวะที่คาดไม่ถึง หรือการวางบอลยาวด้วยน้ำหนักและทิศทางที่น่าเหลือเชื่อ
คนจำนวนมากจับจ้องป็อกบาเพียงเพราะอยากเห็นเขาทำผิดและทำพลาด และมันก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ดี วันนี้ตัดประเด็นเรื่องของมาตรฐานการเล่นและผลงานในสนามออกไปก่อน เพราะอดีตนักฟุตบอลค่าตัวแพงที่สุดในโลกเมื่อปี 2017 เมื่อย้ายจากยูเวนตุส กลับมาสู่ ‘โรงละครแห่งความฝัน’ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกครั้งด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ได้เปิดเผยอีกมุมของชีวิตที่ไม่มีใครได้รู้มาก่อน
อีกด้านของนักฟุตบอลที่มีรอยยิ้ม เป็นดาราในโซเชียลมีเดีย สนุกกับการเปลี่ยนสีผมเกือบทุกสัปดาห์ เขาคือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เผชิญกับช่วงเวลามืดมนอนธการมาแล้วหลายครั้ง
เมื่อสีสันต่างๆ ที่ถูกแต่งแต้มจากภาพภายนอกไม่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นจริงที่ซ่อนลึกอยู่ข้างใน อีกทั้งด้วยภาพลักษณ์และสถานะทำให้กองกลางชาวฝรั่งเศสไม่คิดว่าคนแบบพวกเขาจะสามารถพูดถึงเรื่องปัญหาสภาพจิตใจอย่างเปิดเผยได้
ที่สำคัญคือบาดแผลทางใจเหล่านี้นั้น ต่อให้ได้รับเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนก็ไม่อาจช่วยเยียวยาได้
“ผมเผชิญมาแล้วและเผชิญมาหลายครั้งตลอดชีวิตการเล่นของผม” ป็อกบาตอบคำถามกับ Le Figaro หนังสือพิมพ์ในประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับเรื่องของโรคซึมเศร้า “ผมผ่านมันมาแล้ว แต่เราแค่ไม่ได้พูดถึงมัน บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เราแค่อยากจะแยกตัวออกไปอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่แน่แท้”
สิ่งที่หลายคนสงสัยคือนักฟุตบอลที่ครั้งหนึ่งมีอนาคตสดใส ถูกคาดหวังว่ามีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของโลกในยุคสมัยใหม่ อะไรที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้?
คำตอบของป็อกบาคือ โชเซ มูรินโญ
“ในมุมมองส่วนตัวของผมเอง มันเริ่มในตอนที่ผมทำงานกับ โชเซ มูรินโญ ในแมนเชสเตอร์ มันคือช่วงที่ผมกลับมาถามตัวเองว่าผมทำอะไรที่ผิดไป เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยเผชิญมาก่อนเลยในชีวิต
“แน่นอนว่าเราทำเงินได้มาก และเราก็ไม่คิดที่จะโวยวาย แต่เงินมันไม่ได้ช่วยปกป้องเราจากการที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาแบบนี้ในชีวิต เหมือนกับทุกอย่างบนโลกใบนี้มันดูยากไปเสียหมด ในเกมฟุตบอลมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ แต่ลึกๆ แล้วเราก็ไม่ได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ เราก็เป็นแค่คนธรรมดา”
เพราะนักกีฬาก็มีหัวใจ
ประเด็นปัญหาสภาพจิตใจของนักฟุตบอลหรือในหมู่นักกีฬาเป็นสิ่งที่เริ่มได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมา จากกรณีของนักกีฬาระดับสุดยอดของโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นาโอมิ โอซากะ นักเทนนิสหญิงที่เป็นไอคอนของวงการในช่วงที่ผ่านมา หรือ ซิโมน ไบลส์ นักยิมนาสติกหญิงที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งต่างยอมรับว่ามีปัญหาสภาพจิตใจจนไม่สามารถที่จะลงทำการแข่งขันได้ไหว
ในวงการฟุตบอล โลกลูกหนังเคยสูญเสียมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น โรเบิร์ต เอ็งเค อดีตนายทวารทีมชาติเยอรมนี หรือ แกรี สปีด อดีตผู้จัดการทีมชาติเวลส์ที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ซึ่งเมื่อความสูญเสียเกิดก็มีการพยายามที่จะหาทางช่วยเหลือหรือดูแลนักฟุตบอลไม่ให้ต้องต่อสู้กับปัญหาสภาพจิตใจเพียงลำพัง
แต่ในความเห็นของ เธียร์รี อองรี อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานทีมชาติฝรั่งเศส เวลานี้ทุกฝ่ายยังเอาจริงเอาจังกันไม่มากพอ ซึ่งป็อกบาเองก็เป็นอีกคนที่เห็นด้วย
“ผมเห็นด้วยเต็มที่กับติติ (อองรี)” ป็อกบากล่าว “ฟุตบอลเป็นกีฬาประเภททีมที่เหมือนเป็นกีฬาประเภทเดี่ยวมากที่สุด ทุกคนจะถูกตัดสินในทุก 3 วัน เราต้องทำให้ดีในทุกครั้ง แม้ว่าเราก็อาจจะมีความกังวลไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป เช่น อาจจะเป็นเรื่องคู่ชีวิต เรื่องของโค้ช หรือเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน
“แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรารู้สึกได้ในร่างกายของเรา ในหัวของเรา และเราอาจจะมีช่วงเวลาเดือนหนึ่ง หรืออาจจะปีหนึ่งที่ทำได้ไม่ดี แต่เราก็พูดอะไรแบบนี้ต่อสาธารณะไม่ได้ ทุกอย่างถูกเก็บอยู่ในหัวของเรา โดยที่จิตใจเป็นสิ่งที่ควบคุมทุกสิ่ง และนักกีฬาระดับท็อปทุกคนต่างก็ต้องเคยเผชิญกับช่วงเวลาเหล่านี้ แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพูดมันออกมา”
ป็อกบายังได้ยกตัวอย่างของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสที่กลายเป็น ‘จำเลย’ ของคนทั้งชาติเมื่อยิงจุดโทษพลาดจนทำให้ทีมพ่ายแพ้ต่อสวิตเซอร์แลนด์ในศึกฟุตบอลยูโร 2020 เมื่อกลางปีที่แล้ว จนโดนถล่มยับจากกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าแฟนฟุตบอล
“อย่างคีเลียน ตอนที่เขายิงจุดโทษพลาดในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีใครที่คิดถึงเขาเลยหลังจากนั้นว่าเขาต้องเจอกับเสียงวิจารณ์หนักหนาและการพูดถึงเขาในทางที่เลวร้ายขนาดไหน”
ก่อนที่ดาวเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะยืนยันว่า หากคิดจะอยู่ในวงการนี้ก็ต้องมีหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็งอย่างมาก ไม่เช่นนั้นไม่มีทางรอดแน่นอน
โชคดีสำหรับป็อกบาที่เขายังมีรุ่นพี่ที่เข้าใจกันอย่าง ปาทริซ เอวรา ซึ่งเคยผ่านช่วงเวลาที่มืดมนแบบนี้มาเหมือนกัน รวมถึงทุกคนรอบกายและจิตแพทย์ที่เป็นไหล่ให้พักพิงในวันหนักๆ บ้าง
“ผมไม่อยากจะกลายเป็นตัวอย่างของคนที่เจอกับเสียงวิจารณ์ในทางลบแล้วจะทำให้ผมลืมความสำเร็จทั้งหมดที่ผมเคยทำมา” นักเตะผู้เคยพิชิตแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 กล่าว “แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และเวลาที่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมก็จะคุยกับตันตัน ปั๊ต (เอวรา) ที่เคยเจอกับช่วงเวลาแบบนี้เหมือนกัน เพราะเขาจะเข้าใจผมได้ทันที
“จิตแพทย์ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมได้ รวมถึงภรรยาและลูกของผม ในการได้พูดคุย ในการที่มีคนรับฟัง เพื่อที่จะได้นำตัวเองออกจากความโกรธและความเศร้าที่กัดกินจิตใจกลายเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้”
และนี่คืออีกด้านของนักฟุตบอลที่คนจับจ้องและจับผิดมากที่สุดคนหนึ่งในโลก ที่อาจชวนให้ผู้คนในวงการหรือแม้แต่แฟนฟุตบอลเองคิดและทบทวน
ว่าบางครั้งคนที่ดูเหมือนภายนอกแข็งแกร่งภายในของเขาอาจจะอ่อนแอ และคำพูดแย่ๆ ที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองของสมองเน้นแค่ความสะใจของเรา สามารถที่จะทำร้ายใครบางคนได้เจ็บและรุนแรงกว่าที่เราคิด
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2022/mar/23/paul-pogba-opens-up-on-experiencing-depression-at-manchester-united
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12573287/paul-pogba-man-utd-midfielder-speaks-about-his-experiences-of-depression-and-says-mental-health-of-footballers-must-be-discussed-more
- https://www.eurosport.com/football/premier-league/2021-2022/paul-pogba-depression-admission-calls-for-more-empathy-in-expectations-of-top-sports-stars_sto8857514/story.shtml
- ป็อกบาเคยถูกมูรินโญปลดจากตำแหน่งรองกัปตันทีม หลังทั้งคู่มีปัญหากันในเดือนกันยายน 2018 ก่อนที่กุนซือชาวโปรตุเกสจะถูกปลดจากตำแหน่งในอีก 3 เดือนต่อมา