ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ต้องยอมรับว่าเป็นอีกปีที่สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในสภาวะย่ำแย่และเป็นอีกช่วงเวลาที่ท้าทายในการเลือกหุ้นลงทุน หากลองดูในดัชนี SET50 จะพบว่าในช่วงครึ่งปีแรก (3 มกราคม – 20 มิถุนายน 2567) มีหุ้นเพียง 6 ตัวที่ทำผลตอบแทนเป็นบวก โดยยังมีหุ้นอีกจำนวนไม่น้อยที่ปรับตัวลงมากกว่า 15 %
แต่หากเราลองมามองดูหุ้นที่ราคาไม่ค่อยไปไหน หรือหุ้นที่เคลื่อนไหวแบบ Sideways ในกรอบ คือทำผลตอบแทนในช่วง +3 ถึง -15% จะมีอยู่ถึง 26 ตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหุ้นใหญ่ๆ ใน SET50 ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก และอยู่ในจุดที่มูลค่าพื้นฐานค่อนข้างน่าสนใจ
แต่ก็เกิดคำถามใหญ่ในใจหลายๆ คนว่า “แล้วเมื่อไรที่หุ้นจะปรับตัวขึ้น” ความยากลำบากในการลงทุนเป็นเรื่องของการคาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ ในอนาคต ซึ่งหากเรามองดูภาพหลังจากนี้ไปอีก 3-9 เดือนก็ยังมีปัจจัยที่อาจเข้ามากระทบภาพการลงทุนและยังคงทำให้ราคาหุ้นกลับมาผันผวนขึ้นได้อีก เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ รอบการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ตลาดคาดหวังว่าดอกเบี้ยน่าจะเริ่มขยับลงเป็นครั้งแรก อีกทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในหลายๆ ภูมิภาค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กระทบกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้ทั้งนั้น
แต่ในมุมของการลงทุนอาจไม่รอคอยให้ปัจจัยต่างๆ ชัดเจน หรือรอให้ฝุ่นหายตลบไปเสียก่อน ดังคำที่นักลงทุนชอบพูดกันอยู่เสมอว่า “Stay Invested” บทความของหลักทรัพย์บัวหลวงจะมาเล่าว่า หนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่นักลงทุนรายใหญ่ใช้ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ และยังสามารถสร้างดอกเบี้ยต่อเนื่องให้กับนักลงทุนได้ประมาณ 8-15% ต่อปี อีกทั้งยังสามารถออกแบบกรอบราคาด้านล่าง (Knock In) เพื่อเป็นแต้มต่อในการลงทุนได้อีกด้วย
การใช้ Fixed Coupon Note (FCN) หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงระยะสั้น ซึ่งเป็นเครื่องมือในการลงทุน โดยเราสามารถเลือกหุ้นอ้างอิงที่เรามีมุมมองว่า ราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้ม Sideways หรือการปรับตัวลงอยู่ในกรอบจำกัด ซึ่งเราจะสามารถสร้างดอกเบี้ยเป็นประจำในทุกๆ เดือน หรือทุกๆ สองสัปดาห์ ตลอดการถือครองในกรอบอายุประมาณ 3-6 เดือน รวมทั้งการออกแบบอัตราดอกเบี้ยและกรอบราคา Knock In (KI) ให้เหมาะสมกับสภาวะการลงทุนนั้นๆ
รูปภาพแสดงการออกแบบสัญญา FCN
ตัวอย่างเช่น หากกังวลว่าราคาหุ้นจะมีความผันผวนสูงขึ้น โดยเราสามารถลดความเสี่ยงของ FCN ที่ลงทุนโดยการออกแบบกรอบราคา KI% ให้ลึกขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างแต้มต่อหากหุ้นจะปรับตัวลง โดยสามารถปรับราคา KI ลง จาก 90% ไปเป็น 85% ซึ่งจะแสดงว่าความลึกของ KI ปรับลึกลงไปที่ 15% โดยหากหุ้นตกไปไม่ถึง 15% ตลอดอายุการลงทุน เราก็จะยังไม่ขาดทุน โดยที่เรายังได้รับดอกเบี้ยอยู่ที่ 9.00% ต่อปี
โดยในกรณีที่สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงหลุดกรอบราคา Knock In และเมื่อครบกำหนดอาจมีโอกาสได้รับหุ้นที่ราคาเริ่มต้น (Strike Price) ซึ่งถือว่าราคาหุ้นในช่วงนี้เป็นราคาที่ร่วงลงมาต่ำที่สุดตั้งแต่ช่วงที่เกิดโควิด โดยปัจจุบันหุ้นไทยซื้อขายที่ Forward P/E ประมาณ 14 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 15.5 เท่า ซึ่งหากเราได้รับหุ้นมาก็สามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนใน Structured Note อื่นๆ เป็นตัวแก้เกม หรือรอให้ราคาหุ้นกลับขึ้นมาโดยที่ยังได้รับเงินปันผลในแต่ละงวดตามปกติ
ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์ของหุ้นต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เช่น เลือกหุ้นที่ผันผวนต่ำลง หรือปรับแต่งดอกเบี้ยและกรอบราคาให้เหมาะสมกับความผันผวนของหุ้นอ้างอิงที่เราเลือก โดยสามารถศึกษากลไกการทำงานทั้งหมดของ FCN ได้ที่ https://bls.tips/fcnsharing
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ FCN เป็นตราสารที่ไม่มีการคุ้มครองเงินต้น ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน