พรรคก้าวไกลเป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่มีผู้สมัครหน้าใหม่ค่อนข้างมากที่สุด ซึ่งถือเป็นความท้าทายของพรรคและตัวผู้สมัคร โดยเฉพาะการลงชิงเก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตพื้นที่ของแชมป์เก่า
THE STANDARD คุยกับ บูม-ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ผู้ลงชิง ส.ส. กรุงเทพมหานคร (กทม.) เขต 1 ในนามของพรรคก้าวไกล ซึ่งถือเป็นเขตที่มีความหลากหลาย มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญนั่นคือเยาวราช และถือเป็นอีกหนึ่งย่านเศรษฐกิจของ กทม.
บูม-ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ มีพื้นเพเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูลแซ่เตีย ในวัยเด็กเขาเรียนอยู่ที่ไทย แต่เมื่อถึงอายุ 12 ปี เขาไปเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ ให้หลังเพียงปีเดียวจากนั้นจึงย้ายไปเรียนต่อที่จีน
“เนื่องจากที่บ้านผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนเล็ก ทั้งบ้านก็ไปอยู่นิวซีแลนด์หมด ตอนนั้นคุณพ่อตัดสินใจอยากให้สัก 1 คน พูดภาษาจีนได้ เพราะตอนนั้นคุณพ่อก็มองการณ์ไกล เพราะว่าประเทศจีนในอนาคตจะเติบโตขึ้นแล้วก็ก้าวหน้า จึงส่งผมในฐานะลูกชายคนเล็กไปเรียนที่ประเทศจีน
“เนื่องจากเข้าใจว่าการศึกษาภาษาจีนค่อนข้างยากนะครับ ต้องใช้เวลาในการเรียน ก็เลยเลือกผมคนเล็กไปเรียนที่จีน ก็อยู่จีนมาราวๆ 8 ปี ผมเองก็เรียนจบคณะนิติศาสตร์ ภาคภาษาจีน ที่มหาวิทยาลัยในนครเซี่ยงไฮ้”
หลังจากนั้นปารเมศก็กลับมาประเทศไทยเพื่อช่วยทำธุรกิจที่บ้าน ก่อนมาเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคนจีนที่มาลงทุนในประเทศไทย โดยมีหน้าที่ในการดูสัญญา ทำสัญญาเช่า สัญญาซื้อต่างๆ
ถ้าการเมืองดี ประเทศจะมีอนาคต
“สมัยผมเรียนอยู่ที่จีนผมเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความเจริญก้าวหน้าของจีนในยุคที่เป็นเรียกว่ายุคเปลี่ยนผ่านนะครับ ผมเห็นสมัยที่จีนยังโดนดูถูกดูแคลน เราจะเรียกกันว่าของจีนแดง ซื้อมา 3 วันก็พังแล้ว ซื้อมาจะไปหวังอะไรมาก ราคาถูก โยนทิ้ง จนกระทั่งปี 2014 ที่ผมเรียนจบมา ก็จะพบได้ว่าสินค้าจีนมีการพัฒนาก้าวหน้าของเทคโนโลยี”
ปารเมศเล่าต่ออีกว่า จีนนั้นพัฒนาไปทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน AI ยานยนต์ ไฟฟ้า มีการพัฒนาแบบรวดเร็ว ก้าวกระโดด เขาบอกว่าสมัยก่อนเราจะเห็นว่าหลายๆ ประเทศจะต้องไปเลียนแบบหรือเทคโนโลยีจากทางยุโรป แต่สมัยช่วงที่เขาเรียนอยู่ในช่วงหลัง กลับกลายเป็นว่ายุโรปต้องไปศึกษาที่จีน
“ความคิดเหล่านี้ทำให้ผมเห็นความก้าวหน้า การที่ประเทศหนึ่งจะพัฒนามันต้องเริ่มจากการเมือง พอการเมืองดี เศรษฐกิจก็จะดีไปด้วย คุณภาพชีวิตของประชาชนที่เป็นอยู่ก็จะดีขึ้นไปตามลำดับ เราก็จึงเสนอนโยบายที่ชูเรื่องการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต”
ทำไมสนใจการเมือง
“ผมติดตามตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่เลย เห็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขึ้นเวทีครั้งแรก ก็เรียกว่าเป็นไอดอลเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุดมการณ์ แนวความคิด สิ่งที่คุณธนาธรขาย ผมซื้อเต็มๆ”
ปารเมศบอกว่าประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้เขาติดตามการเมืองมาตลอด แล้วจุดเริ่มต้นก็คือมีอยู่วันหนึ่งเขารู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ประเทศไทยต้องการคนรุ่นใหม่ ความคิดใหม่ที่ทันสมัยเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ จึงตัดสินใจเข้าไปกรอกใบสมัครในเว็บไซต์ของพรรคก้าวไกล
“มีอยู่วันหนึ่งพรรคก้าวไกลก็โทรศัพท์มาเรียกไปสัมภาษณ์ ตอนนั้นอยู่ที่ตึกบางแค แล้วเข้าไปสัมภาษณ์ที่นั่นเลย มีผู้บริหารพรรคหลายท่านมาสัมภาษณ์ หลังจากนั้นก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่นว่าตัวเองสามารถนำองค์ความรู้ที่ศึกษามาตลอด แล้วก็ความซื่อสัตย์สุจริตที่เราตั้งใจจะมาทำการเมืองให้ดีขึ้นและโปร่งใส เชื่อว่าเราทำได้ครับ”
เพราะ ‘ก้าวไกล’ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องระวังหลัง
“ก้าวไกลเป็นพรรคที่ยึดเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นหลัก การที่พรรคการเมืองมาเป็นตัวแทนของประชาชนในระดับประเทศ แน่นอนว่าจะต้องเป็นพรรคการเมืองที่รับฟังความคิดเห็น เราในฐานะผู้สมัครเองเข้ามาอยู่ในพรรค การเข้าถึงของกรรมการบริหาร หรือแม้กระทั่งหัวหน้าพรรค การที่เราสามารถเดินไปคุยแล้วไปสะท้อนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของพรรค หรือนโยบายกับหัวหน้าพรรค เป็นเรื่องที่ทำได้นะครับ”
ปารเมศบอกว่าหลายๆ พรรคการเมืองอาจจะมีขั้นตอน ระเบียบ หรือชั้นอาวุโส แต่พรรคก้าวไกลอยู่กันเหมือนครอบครัว สู้ไปด้วยกัน ให้กำลังใจกันและกัน มีอะไรเราก็สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้โดยที่ไม่ต้องไประวังหน้าระวังหลัง มีความตรงไปตรงมา ก็ทำให้เป็นจุดที่เขาตัดสินใจเข้ามาอยู่พรรคก้าวไกล
ฝันอยากเห็นอะไรในการเมืองไทย
“หลักๆ จะมีไม่กี่เรื่อง เป็นเป้าหมายที่ยังเหมือนเดิม สมัยที่ผมเข้ามาพรรคก้าวไกลแรกๆ”
สิ่งแรกที่ปารเมศอยากเห็นคือเรื่องการกระจายอำนาจ เขามองว่าประเทศไทยรวมศูนย์มากเกินไป อยากให้ประเทศไทยกระจายอำนาจ หลายๆ นโยบายของพรรคก้าวไกลทำให้รู้สึกว่าเป็นพรรคที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจที่แท้จริง
“ปัจจุบันเรารวยกระจุก จนกระจาย แต่ถ้าการเมืองดี ถ้ามีนักการเมืองที่เข้าไปผลักดันนโยบายกระจายอำนาจได้ ทั้งรายได้ ทั้งอำนาจมันจะกระจายไปกับผู้คนหมู่มากในประเทศไทย ปัจจุบันกรุงเทพฯ แทบจะเรียกว่าเป็นประเทศไทย ประเทศไทยแทบจะเป็นกรุงเทพฯ นะครับ หรือว่าแหล่งรายได้ที่กระจุกตัวอยู่ใน 5 จังหวัดหลักๆ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต ประมาณ 4-5 จังหวัดนี้ แหล่งรายได้จากนักท่องเที่ยวแทบจะเรียกว่าเกินครึ่ง แทบจะ 70% ของสัดส่วนแหล่งรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ”
ความมุ่งมั่นของปารเมศในเรื่องกระจายอำนาจ เขาอยากให้รายได้กระจายไปทุกภาคส่วน อยากให้พรรคการเมืองรวมถึงพรรคก้าวไกลกระจายรายได้ให้กับเมืองที่อาจกำลังพัฒนา หรือเมืองที่พัฒนาไปแล้ว และเมืองที่พัฒนาอยู่
ไม่มีอะไรประกันชัยชนะ
คำถามส่งท้ายของการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ถามปารเมศถึงความท้าทายของการลงชิงเก้าอี้ ส.ส. ใน กทม. เขต 1 ซึ่งเป็นเขตที่โจทย์ยากในแง่พื้นที่และคู่แข่ง
“รู้สึกท้าทายมาก แล้วก็ในขณะเดียวกันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาลงเขตนี้ ผมมองว่าการแข่งขันไม่ว่าจะอยู่เขตไหนก็มีการแข่งขันสูงมากเช่นกัน ไม่มีเขตไหนหรอกที่เราสามารถการันตีได้ว่าเราชนะแน่นอน มันอยู่ที่การทำงาน การที่เราลงพื้นที่แล้วไปแก้ไขปัญหาให้กับคนในพื้นที่ได้หรือไม่ เราประสานความรู้สึก ประสานปัญหาที่ประชาชนในพื้นที่ได้ประสบได้สำเร็จหรือไม่
“แน่นอนว่าคู่แข่งท่านอื่นๆ จะเป็นหลายๆ ท่านเลยเป็นนักการเมืองที่ยึดโยงกับพื้นที่มายาวนาน ความท้าทายคือว่าเราเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แน่นอนว่าประชาชนยังไม่รู้จักเรามากเท่าไร แต่การที่เราลงพื้นที่และช่วยเหลือประชาชนแก้ไขปัญหาที่เป็นทั้งประเด็นและพื้นที่ระดับชาติได้ ก็ทำให้ประชาชนรู้จักเรามากขึ้น เชื่อว่าจะสามารถชักชวนให้มาสนับสนุนเราได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
