มีใครได้ดูการแข่งขันเทนนิสเฟรนช์โอเพน นัดชิงชนะเลิศชายเดี่ยว ระหว่าง คาร์ลอส อัลคาราซ กับ ยานนิก ซินเนอร์ บ้างไหมครับ?
5 ชั่วโมง 29 นาทีของการแข่งขัน (และหากรวมช่วงของการอบอุ่นร่างกายและแนะนำตัวนักกีฬาด้วยก็จะราว 6 ชั่วโมงพอดีสำหรับคนที่เปิดตั้งแต่แรก) คือการห้ำหั่นที่มันสุดๆ ของนักเทนนิสที่ตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจแล้วว่านี่แหละคือผู้ที่จะแบกรับยุคสมัยต่อจาก ‘บิ๊กทรี’ อย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล และ โนวัค ยอโควิช
ผู้ชนะในวันนั้นคืออัลคาราซ ทายาทผู้สืบสายตรงทางเทนนิสจาก ราฟาเอล นาดาล
ในโมเมนต์ชัยชนะของนักเทนนิสเลือดกระทิงดุนั้น มีอยู่แวบหนึ่งของความรู้สึกที่ผมนึกถึงใครสักคนขึ้นมา
คนที่เคยเอาชนะนาดาลได้ในวิมเบิลดัน 2003 (รอบที่ 3)
คนที่เคยขึ้นถึงอันดับที่ 9 ของโลก
และคนที่ทำให้ชาวไทยหลงรักเทนนิสกันทั่วบ้านทั่วเมือง
รู้ใช่ไหมครับว่าผมกำลังพูดถึง ‘ซูเปอร์บอล’ ภราดร ศรีชาพันธุ์
จะว่าไปพูดแล้วแอบใจหายนะครับเพราะเรื่องราวของ บอล-ภราดร ศรีชาพันธุ์ แต่ทุกคนพร้อมใจเรียกเขาว่า ‘ซูเปอร์บอล’ นั้นผ่านมาร่วม 20 ปีแล้ว (ชราภาพจริงๆ…)
แต่ความรู้สึกของความทรงจำนั้นยังคงอยู่และชัดเจน
ภราดรเป็นนักเทนนิสชายไทยที่ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา โดยในช่วงเวลาที่ดีที่สุดเขาก้าวไปถึงการเป็นมือวางอันดับ 9 ของโลก ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก เมื่อคิดถึงการที่เขาเป็นนักเทนนิสจากประเทศที่ผู้คนไม่ได้คลั่งไคล้ในกีฬาชนิดนี้มากเท่าไรนัก
ความดีความชอบแรกต้องยกให้กับครอบครัวโดยเฉพาะ คุณพ่อชนะชัย ศรีชาพันธุ์ ผู้ประสิทธิ์ประสาททั้งวิชาและความรักในกีฬาตีลูกสักหลาดให้แก่ลูกชาย ซึ่งไม่ได้มีคนเดียวด้วยที่เล่นเทนนิส เพราะพี่ชายอย่าง นราธร ศรีชาพันธุ์ ก็เป็นนักเทนนิสด้วยเหมือนกัน
และความจริงแล้วคนไทยเราเริ่มรู้จักภราดรก็จากการจับคู่เล่นกับนราธรนั่นเอง
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ ‘พี่น้องศรีชาพันธุ์’ คือการคว้าเหรียญทองได้ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่กรุงเทพมหานคร ในปี 1998 ด้วยการเอาชนะคู่แข่งเกาหลีใต้ อีฮุงเต็ก และ ยุนยองอิล เจ้าของเหรียญเงินในการแข่งขันเอเชียนเกมส์เมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น
เพียงแต่ในเวลาต่อมาภราดรมีพัฒนาการในการเล่นที่โดดเด่นกว่าและกลายเป็นอีกหนึ่งนักเทนนิสที่คนไทยตามเชียร์ร่วมกับ แทมมี่-แทมมารีน ธนสุกาญจน์ นักเทนนิสหญิงไทยคนแรกที่สร้างชื่อเสียงในฐานะนักเทนนิสอาชีพในดับเบิลยูทีเอทัวร์
ภราดรในช่วงเวลานั้นไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ไฟที่ถูกยิงขึ้นฟ้า
เจิดจ้า สุกสกาว ในเวลาอันรวดเร็ว
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเจ้าบอลเริ่มในปี 2002 โดยหลังจากที่เทิร์นโปรเมื่อปี 1999 ภราดรไต่ระดับอย่างรวดเร็วในเอทีพีทัวร์ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นน่าจับตามอง
ความเด่นนั้นอยู่ในระดับที่ไม่ใช่เพียงแค่คนไทยที่สนใจ แต่วงการเทนนิสระดับโลกก็สนใจด้วย เพราะสไตล์การตีของเขานั้นดุดัน รวดเร็ว มีความคาดเดาไม่ได้อยู่
ความแข็งแกร่งนั้นสู้ได้แม้กระทั่งมือวางระดับท็อปของยุคสมัยในเวลานั้นอย่างแอนดี้ ร็อดดิก (หรือ ‘เอร็อด’ ขวัญใจสาวๆ ทั่วโลก) แบบตาต่อตาฟันต่อฟันเลยทีเดียว
แต่ที่สำคัญคือหัวจิตหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ซึ่งดันมาผสมผสานกับนิสัยแบบคนไทย มีมารยาท มีน้ำใจและไมตรีให้กับทุกคน
ภราดรจึงกลายเป็นขวัญใจของคนจำนวนมาก เป็นหนึ่งในนักเทนนิสที่โดดเด่นน่าจับตามองที่สุดในเวลานั้น ถึงขั้นที่นิตยสาร TIME เลือกขึ้นปกมาแล้วในฐานะนักกีฬาชาวเอเชียรุ่นใหม่ที่โดดเด่นเลยทีเดียว
จุดพีคของเขาอยู่ในช่วงปี 2003 ก่อนรายการเฟรนช์โอเพนที่ซูเปอร์บอลขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 9 ของโลก
ไม่นับการสร้างชื่อเสียงด้วยการเอาชนะนักเทนนิสระดับตำนานอย่าง อังเดร อากัสซี ไอ้หนุ่มบลูยีนส์อดีตมือหนึ่งของโลกลงได้ในรายการวิมเบิลดัน 2002 หรือแม้แต่นาดาล ในช่วงวัยรุ่นเองก็เสร็จซูเปอร์บอลมาแล้วในรายการวิมเบิลดัน 2003 ซึ่งเป็นการลงแข่งระดับแกรนด์สแลมครั้งแรกของตำนานชาวสเปนด้วย
รวมถึง มารัต ซาฟิน, ทิม เฮนแมน, ฮวน คาร์ลอส เฟเรโร และ กุสตาโว เคอร์เทน ที่เคยพ่ายแพ้ให้ภราดรมาแล้วทั้งนั้น
และแมตช์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจจะถือเป็นครั้งสุดท้ายด้วย คือการต่อกรกับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในช่วงเดือนตุลาคม 2006
ภราดรและเฟเดอเรอร์เคยพบกันใน Davidoff Swiss Indoors 2005 รอบรองฯ และเป็นเฟเดอเรอร์ที่เอาชนะไปได้ 2-1 เซ็ต 6-4, 3-6, 7-6(5)
วันนั้นภราดรสู้กับมือหนึ่งของโลกอย่างเฟ็ดเอ็กซ์ได้อย่างสูสีก่อนจะพ่ายไปอย่างเฉียดฉิว
แต่มันก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตด้วยเหมือนกันเพราะการต่อสู้อย่างหนักหน่วงในวันนั้น รวมถึงตลอดชีวิตการเล่นที่ผ่านมาได้ทำให้ข้อมือของเขาเกิดบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักเพื่อรักษาตัว เพียงแต่ในช่วงใกล้กันดันมีการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2006 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์
ในฐานะแชมป์เก่าเจ้าของเหรียญทองในการแข่งปี 2002 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ และในฐานะขวัญใจเบอร์หนึ่งของคนไทย ภราดรต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ทั้งๆ ที่เคยประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมแข่งขัน (ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนักเทนนิสอาชีพระดับโลก) แต่สุดท้ายซูเปอร์บอลก็ลงแข่งจนได้
สิ่งที่แฟนกีฬาหลายคนอาจไม่รู้คือการฝืนลงในเอเชียนเกมส์ครั้งนั้น (ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยอมถอนตัวได้แค่เหรียญทองแดงกลับมา) ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาที่เลวร้ายอยู่แล้ว – ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟอร์มการเล่นค่อยๆ ตกลง มากกว่าเรื่องที่หลายคนมองว่าหลงระเริงไปกับชื่อเสียง – กลายเป็น ‘หายนะ’
เส้นเอ็นที่ข้อมือของภราดรฉีกขาดทั้งหมด และเจ้าตัวบอกด้วยตัวเองในเวลาต่อมาว่าเขารู้ทันทีตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป
หากได้พักในตอนนั้น ภราดรอาจจะยังเล่นเทนนิสอาชีพในระดับสูงสุดต่อได้อีกหลายปี
และบางทีเขาอาจจะกลับมาสร้างผลงานระบือลั่นอีกก็เป็นได้ ใครจะรู้?
แต่เพราะวันเวลาไม่อาจหวนคืน สุดท้ายภราดรนอกจากจะไม่สามารถกลับมาเรียกฟอร์มเก่าได้ ยังประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์คว่ำ อาการบาดเจ็บหนักถึงขั้นข้อมือหักทั้งสองข้างและขาหัก 1 ข้าง รวมถึงเจ็บหัวเข่ารุนแรง
เจ้าตัวตัดสินใจแขวนแร็กเก็ตทันทีในปี 2010 ปิดตำนานซูเปอร์บอลเอาไว้แค่นี้
ถึงอย่างนั้นภราดรได้มอบสิ่งสำคัญที่สุดให้แก่ประเทศไทย คือการที่เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่คนที่จุดกระแสทำให้คนไทยเลยกลายเป็นชนชาติที่คลั่งไคล้เทนนิสขึ้นมา จนมีการเชิญนักกีฬาระดับโลกมาแข่งขัน ‘ไทยแลนด์โอเพน’ ที่อิมแพ็ค อารีน่า ในช่วงยุคนั้นเท่านั้น (ผมเองแม้จะไม่ได้เป็นแฟนเทนนิสขนาดนั้นก็ยังต้องไปตามดูตามเชียร์กับเขาด้วย)
แต่เป็นคนปลูกต้นไม้ของความหวังและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ชาวไทยหันมารักและสนใจกับการเล่นเทนนิสตามไปด้วย
ภาพของกีฬาเทนนิสจากที่ดูเป็นกีฬาของคนมีเงิน แต่การที่เด็กหนุ่มชาวขอนแก่นคนหนึ่งสามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองพร้อมสนับสนุนลูก โรงเรียนสอนเล่นเทนนิสเกิดขึ้นมากมาย ทุกคนมีเป้าหมายที่จะเดินตาม
เพียงแต่เวลาผ่านมา 15 ปีนับจากที่ภราดรอำลาวงการไป และ 22 ปีนับจากวันที่เขาไปถึงจุดสูงสุดกับการเป็นมืออันดับ 9 ของโลก
ยังไม่มีนักเทนนิสไทยคนไหนก้าวขึ้นมาในจุดเดียวกับที่ภราดรเคยทำได้เลย
ความหวังล่าสุดของเราอยู่ที่ บูม-กษิดิศ สำเร็จ
หวังว่าจะทำไปถึงจุดที่พี่บอลเคยทำได้นะ 🙂