วันนี้ (6 ธันวาคม) พนิต วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Panich Vikitsreth – พนิต วิกิตเศรษฐ์ ระบุว่า
การประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เกี่ยวกับหมวดการปกครองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ ที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า และประชาชน จำนวน 76,591 คนเสนอ
สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่างใช้เวลาในการอภิปรายอย่างเต็มที่ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และจะมีการลงมติรับหลักการในวันที่ 7 ธันวาคม 2565
ผมในฐานะที่เคยบริหารงานท้องถิ่นมาก่อน คือการดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ ปลดล็อกท้องถิ่น ให้สามารถทำงานเพื่อประชาชนได้มากขึ้น ที่ผ่านมาท้องถิ่นถูกกำกับโดยรัฐส่วนกลาง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาของประชาชน หลายอย่างมีปัญหา ไม่มีประสิทธิภาพ และล่าช้า เช่น ไม่มีอิสระในการบริหารทั้งเงินงบประมาณ หรือบางครั้งในการจัดซื้อสิ่งของจำเป็นต่อการพัฒนาประชาชน แต่กลับถูกรัฐส่วนกลางมาตีกรอบและกำหนดว่าต้องจัดจ้างวิธีนี้ บริษัทนี้ ราคานี้ ทั้งที่แพงกว่าท้องตลาดทั่วไป
ย้อนกลับไปช่วงปี 2547 กทม. ได้จัดซื้อรถดับเพลิงเป็นเงินจำนวนกว่า 6 พันล้านบาท แต่ทว่ากลับถูกตรวจพบว่าซื้อในราคาที่แพงกว่าท้องตลาดทั่วไป การจัดซื้อครั้งนี้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องหลายคน และส่วนหนึ่งมาจากรัฐส่วนกลางที่มีบทบาทสำคัญในการอนุมัติการสั่งซื้อ กระทั่งจบด้วยศาลฯ ตัดสินว่าทุจริต นี่แหละครับ เป็นเหตุที่ทำไมวันนี้ต้องมีการปลดล็อกท้องถิ่นและกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่นในการบริหารจัดการตนเอง
ประโยชน์กระจายอำนาจ คือคนในพื้นที่มีความเข้าใจพื้นที่ เพราะแต่ละพื้นที่มีความต้องการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน มากกว่ารัฐส่วนกลางมากำหนดให้ ทั้งยังมีวาระที่ชัดเจนและระยะเวลาเพียงพอในการทำงาน ต้องผ่านสนามแข่งขันที่ทำให้ประชาชนมั่นใจและยอมรับว่าคุณเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังแก้ปัญหาและใช้งบประมาณได้ตรงเป้าหมายและลดความขัดแย้งจากส่วนกลางได้ในการแย่งชิงตำแหน่ง
รัฐสภาควรจะรับหลักการไปพิจารณาเสียก่อน เพื่อให้เกิดการแปรญัตติให้แก้ไขต่อไป อาทิ เลือกตั้งผู้ว่า ฯ ทั่วประเทศ เพราะจะตอบโจทย์พื้นที่ และเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ตัดสินทุก 4 ปี มิใช่ให้คนจากส่วนกลางเข้าไปทำงานโดยไม่รู้ปัญหา และพอถึงเวลาทำงานก็ย้ายหนี หรือบางจังหวัดก็ถูกย้ายออกไปทั้งที่งานในพื้นที่กำลังไปได้ดี กลับถูกย้ายด้วยความไม่สมัครใจ
ผมอยากจะเรียกร้องไปยังสมาชิกวุฒิสภา ให้เปิดใจรับฟังเสียงของประชาชนที่ตั้งใจเรียกร้องตามสิทธิของรัฐธรรมนูญเข้าชื่อแก้ไขกฎหมายตามกระบวนการประชาธิปไตย เพราะในชั้นรับหลักการต้องใช้เสียงของวุฒิสภาถึง 84 คน มิเช่นนั้นร่างฯ กฎหมายดังกล่าวจะตกไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนตัวจะลงมติรับหลักการเพื่อฟังเสียงของชาวบ้าน มิใช่จ้องทำแท้งโดยไม่ฟังความเห็นจากพี่น้องประชาชน