วันนี้ (24 มีนาคม) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อาหารไทยถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมด้านอาหารที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ที่ผ่านมาอาหารไทยเคยได้รับการกล่าวถึงในสื่อต่างประเทศบ่อยครั้ง ซึ่งล่าสุด TasteAtlas เว็บไซต์สารานุกรมรสชาติรวบรวมข้อมูลเมนูอาหาร วัตถุดิบท้องถิ่น และร้านอาหารต้นตำรับจากทั่วโลก ได้จัดอันดับ ‘แกงพะแนง’ ให้ติดอันดับ 1 ของอาหารประเภทสตูที่มีรสชาติดีที่สุดในโลก นำหน้าแกงกะหรี่ญี่ปุ่น และหม้อไฟหม่าล่าแบบเสฉวน
ทั้งนี้ กรมอนามัยจึงอยากแนะนำคุณค่าทางโภชนาการของพะแนงหมู 1 ถ้วย ในปริมาณขนาด 100 กรัม ว่าให้พลังงาน 158 กิโลแคลอรี, โปรตีน 12.2 กรัม, ไขมัน 9.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 6.7 กรัม โดยพะแนงหมูจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เนื่องจากมีโปรตีนและไขมันจากเนื้อหมู และมีไขมันจากกะทิ เหมาะกับคนที่ใช้พลังงานเยอะ
นพ.สุวรรณชัยกล่าวต่อไปว่า สำหรับคุณประโยชน์ของพะแนงหมู เนื้อหมูเป็นแหล่งของโปรตีน, ธาตุเหล็ก, วิตามินบี 12, กรดไขมัน, กรดอะมิโนที่จำเป็น ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการเรียนรู้ มะเขือพวงมีใยอาหารสูง ช่วยระบบการขับถ่าย และช่วยชะลอการดูดซึมคอเลสเตอรอล กะทิทำให้อาหารมีเนื้อสัมผัสเข้มข้น รสชาติกลมกล่อม หวานมัน และมีวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ มีไขมันอิ่มตัวมากกว่าร้อยละ 90 จึงให้พลังงานสูง และช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน
อีกทั้งเครื่องแกงและส่วนประกอบอื่น เช่น ข่า, ตะไคร้, หอมแดง, พริกชี้ฟ้า, ใบมะกรูด ยังเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้อาการแน่น จุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะอีกด้วย แม้ว่าพะแนงหมูจะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังในการบริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับพลังงานและไขมันอิ่มตัวมากเกินไป โดยหากบริโภคพะแนงหมูในมื้ออาหารนั้น ไม่ควรรับประทานร่วมกับเมนูอาหารทอด อาหารมันชนิดอื่น เลือกบริโภคข้าวกล้องแทนข้าวขาว เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุเพิ่ม
การรับประทานใยอาหารเป็นประจำจะสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ และลดการดูดซึมไขมันหรือคอเลสเตอรอลได้ อาจจะเลือกวัตถุดิบที่ใช้จากกะทิเป็นนมวัว เพราะปริมาณที่เท่ากันนมวัวจะให้พลังงานน้อยกว่า แต่จะได้รับโปรตีนและแคลเซียมมากกว่า เลือกใช้เนื้อหมูไม่ติดมันก็จะช่วยลดไขมันที่ร่างกายได้รับ
นพ.สุวรรณชัยกล่าวด้วยว่า การปรุง-ประกอบอาหารที่มีกะทิไม่ควรทำปริมาณมากเกินไป เพราะกะทิเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้อาหารเสียได้ง่าย โดยเฉพาะอาหารปรุงค้างมื้อที่ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ร้านควรเช็กรสชาติ กลิ่น และสีของอาหารก่อนบริโภค หากมีลักษณะบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป หรือมีกลิ่นไม่ดี แสดงว่าอาหารบูดหรือเน่าเสีย ต้องทิ้ง ดังนั้นหากกินไม่หมดควรนำไปเก็บในตู้เย็น และควรแยกทัพพีในการตักเมนูอาหารนั้นๆ เพื่อลดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารบูดหรือเน่าเสียได้ง่ายกว่า
อีกทั้งการปรุงรสไม่ควรมากนัก โดยปริมาณที่กำหนดในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ตามหลัก 6 : 6 : 1 ใน 1 วันไม่ควรบริโภคน้ำมัน น้ำตาล เกิน 6 ช้อนชา และเกลือเกิน 1 ช้อนชา และหลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด เค็มจัด
“ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงอย่างพะแนงหมู ผู้ที่ไม่มีปัญหารับประทานได้ แต่ไม่ควรกินบ่อยหรือมากเกินไป พร้อมควบคู่กับการออกกำลังกาย เพื่อช่วยป้องกันการได้รับพลังงานมากเกินไป” นพ.สุวรรณชัยกล่าวในที่สุด