หลังจากที่ เชฟฟาตีห์ ทูทัค แห่งร้าน The Dining Room อำลาตำแหน่งและกลับไปยังบ้านเกิดที่ตุรกี ตอนนี้ The House on Sathorn ก็ได้เปิดตัว Paii (พาย) ห้องอาหารคอนเซปต์ใหม่ที่มาแทนที่ The Dining Room โดยนำเสนออาหารทะเลสไตล์ไทยโมเดิร์นจากวัตถุดิบท้องทะเลไทยและต่างประเทศ
ห้องกินข้าวบรรยากาศสดใสในคฤหาสน์เก่าแก่
The Vibe
Paii ตั้งอยู่ที่ The House on Sathorn ในคฤหาสน์อายุกว่า 130 ปี สร้างขึ้นในปี 2432 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบ้านพักของหลวงสาทรราชายุกต์ เจ้าของคฤหาสน์คนแรกผู้เป็นนักธุรกิจและผู้ริเริ่มขุดคลองสาทร จากนั้นตกเป็นมรดกสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน จนกระทั่งถูกเปลี่ยนมือเจ้าของเมื่อปี 2463 จากบ้านพักได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นโรงแรมหรู โฮเทล รอยัล จนกระทั่งปี 2491 ได้ปล่อยเช่าให้สถานทูตรัสเซียยาวมาจนถึงปี 2552 และเมื่อปี 2558 ก็กลายมาเป็น The House on Sathorn โดยได้ทีมบูรณะจากกรมศิลปากรเป็นผู้ดูแลการตกแต่งภายใน ซึ่งยังคงความเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก และเป็นที่ตั้งของ Paii ร้านอาหารซีฟู้ดล่าสุด
ชื่อร้าน Paii ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าของพื้นที่คฤหาสน์คนแรก นั่นคือหลวงสาทรราชายุกต์ ผู้ริเริ่มการขุดคลองสาทร โดยรายละเอียดของอาหารยังคงเกี่ยวเนื่องกับเรื่องในน้ำ เพราะนำเสนอซีฟู้ดเป็นหลัก โดยคัดสรรวัตถุดิบจากทั้งทะเลไทยและต่างประเทศ ภายใต้การดูแลของ เชฟโจ-วีรเกติ์ นิลายน ซึ่งเคยเป็นเชฟที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ มาก่อน จึงมั่นใจถึงคุณภาพและรสชาติของซีฟู้ดจากทะเลไทยและเทศที่ถูกเชฟรังสรรค์เป็นเมนูโมเดิร์นไทยซีฟู้ด เข้าถึงง่าย ไม่ซับซ้อน และเต็มไปด้วยรสชาติในทุกคำ
กุ้งแม่น้ำใหญ่ยักษ์และข้าวผัดปูจานเบิ้มที่กินคนเดียวไม่มีหมด
The Seafood
ในระหว่างที่รออาหาร ทางร้านจะเสิร์ฟข้าวเกรียบแคร์รอตและเห็ดให้กินเล่นไปพลางๆ ซึ่งมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจี๊ดจ๊าดที่มีเสาวรสเป็นส่วนผสมด้วย รอไม่นานจานแรกก็พร้อมเสิร์ฟ French Razor Clams (520 บาท) หอยหลอดส่งตรงสดใหม่จากฝรั่งเศสราดซอส XO สูตรเฉพาะของ Paii เสิร์ฟตรงถึงโต๊ะโดยที่จะมีพนักงานนำเหล้าแม่โขงราดบนหอยหลอด จากนั้นจุดไฟให้ลุกท่วมเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อให้ซอส XO เผยความหอมและรสชาติอันเข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หากชื่นชอบกลิ่นหอมที่เกิดจากการย่าง จานนี้เหมาะที่สุด Spanish Octopus (1,200 บาท) ลาบหมึกยักษ์จากสเปน ก่อนจะมีเนื้อนุ่มเด้งหนึบหนับแบบนี้ เชฟนำไปย่างถ่านจนกระทั่งสุกกำลังดีและมีความแห้งเกรียมปนไหม้เล็กน้อยบริเวณผิวนอก บรรจงจัดแต่งใส่จานให้โคงมนแบบพระจันทร์เสี้ยว แล้วจึงท็อปด้วยเครื่องลาบ ข้าวคั่ว และใบสะระแหน่ (รีบจิ้มก่อนที่จะหมดจาน เราเตือนคุณแล้วนะ)
เคยกินลาบหมึกยักษ์จากสเปนที่ย่างจนหอมขึ้นจมูก
และแกงเขียวหวานกุ้งมังกรยักษ์หรือยัง
ยังคงวนเวียนกับโชว์เคสอาหารจากทะเลชั้นเลิศจากต่างประเทศ แต่นำมาปรุงเป็นอาหารไทย Maine Lobster (2,400 บาท) ล็อบสเตอร์ตัวโตก้ามใหญ่ที่ผ่านการเลาะเนื้อและแกะเปลือกมาเรียบร้อย แล้วจัดกลับให้เป็นโครงล็อบสเตอร์เช่นเดิมตามแบบฉบับเชฟกอร์ดอน แรมซีย์ จับคู่กับแกงเขียวหวานมะเขือใบโหระพาที่น้ำขลุกขลิก แต่เข้มข้นเรื่องรสชาติ จิ้มล็อบสเตอร์กินหนึ่งคำสลับกับแกงเขียวหวาน ความสดใหม่ของกุ้งผสานกับรสกลมกล่อมของแกง ขาดแค่ข้าวสวยร้อนๆ สักจานก็เพอร์เฟกต์
ข้าวผัดปูจานยักษ์สำหรับทุกคนบนโต๊ะ
ความใหญ่โตของกุ้งแม่น้ำคือสิ่งดึงดูดให้ทั้งชาวไทยและต่างชาติน้ำลายสอ แค่เห็นรูปก็ชนะไปกว่าครึ่งแล้ว Giant River Prawns (1,950 บาท) กุ้งแม่น้ำไทยๆ ย่างจนมันเยิ้ม ไม่สุกเกินไป และยังคงความหวาน เด้ง และกรอบของเนื้อกุ้งอยู่ มาพร้อมซอสฉู่ฉี่ให้ราดจนท่วมตัวกุ้ง หรือจะตักราดฉู่ฉี่ทีละนิดไว้ตัดรสชาติอาหารจานอื่นก็อร่อยเด็ดไม่แพ้กัน หรือจะ Seabass (1,350 บาท) ปลากะพงทอดทั้งตัว แต่แผ่เนื้อปลาให้เรียบร้อยเสร็จสรรพเพื่อการรับประทาน เพิ่มรสชาติด้วยน้ำยำกับสลัดหัวปลีกรอบ
กุ้งแม่น้ำแบบไทยๆ ราดด้วยซอสฉู่ฉี่ พร้อมเมนูเคียงอย่างผักกาดย่างและข้าวเกรียบเรียกน้ำย่อย
คนไทยจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าหากไม่กินข้าวจะไม่อิ่มท้อง Paii จึงจัดเต็มนำเสนอข้าวผัดปูถาดใหญ่คุณภาพอัดแน่นอย่าง Giant Crab Fried Rice (2,200 บาท) ที่ผัดข้าวหอมออร์แกนิกจากนครปฐมกับไข่ออร์แกนิกจนหอมติดกระทะ แล้วใส่เนื้อปูจากสุราษฎร์ธานีแบบไม่กั๊กกว่าครึ่งกิโลกรัม ใครที่เคยบ่นว่ากินข้าวผัดปูแล้วไม่ค่อยได้เนื้อปู หากมาที่นี่คงต้องคิดใหม่ เพราะข้าวผัดปูเนื้อแน่นถาดนี้ต้องชวนเพื่อนมาแบ่งกันหม่ำถึง 7-8 คนทีเดียว
อย่าลืมสั่งผักเคียงกินคู่กับข้าวผัด Cabbage (180 บาท) กะหล่ำปลีอบหม้อดินจนกรอบไหม้ที่ขอบนอก แต่ยังคงความฉ่ำของผัก เพิ่มรสชาติด้วยน้ำปลาดีที่ซึมจนเข้าเนื้อกะหล่ำ แถมยังมีกระเทียมกรอบเพิ่มเท็กซ์เจอร์กรุบกรอบยามตักเข้าปาก
แม้จะอิ่มแค่ไหน เราท้าให้คุณลอง Thai Tea-Ramisu ที่อาจทำให้เปลี่ยนใจละเลียดจนหมด
อิ่มหนำความอร่อยจากทะเลกันเป็นที่เรียบร้อย ส่งท้ายก่อนกลับด้วย Lemongrass Panna Cotta (400 บาท) พานาคอตต้ากลิ่นหอมแบบไทยๆ ด้วยตะไคร้อ่อน ท็อปด้วยสาคู มะม่วง และเสาวรส ช่วยเคลียร์รสชาติที่คงค้างในต่อมรับรส และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับขนมจานสุดท้าย Thai Tea-Ramisu (450 บาท) ทิรามิสุเวอร์ชันเปลี่ยนจากเอสเพรสโซเป็นชาไทย ตักกินพร้อมกันทุกเลเยอร์ แม้จะดูแห้งๆ แต่ตัวคุกกี้เลดี้ฟิงเกอร์ด้านในกลับชุ่มฉ่ำไปด้วยชาไทย สดชื่นจนคำสุดท้ายแบบไม่รู้ตัวจริงๆ
What You Should Know
- Paii ตั้งอยู่ในพื้นที่ของคฤหาสน์อายุกว่า 130 ปี สร้างขึ้นในปี 2432 สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นบ้านพักของหลวงสาทรราชายุกต์ เจ้าของคฤหาสน์คนแรกผู้เป็นนักธุรกิจและผู้ริเริ่มขุดคลองสาทร จนกระทั่งถูกเปลี่ยนมือเจ้าของเมื่อปี 2463 กลายเป็นโรงแรมหรู โฮเทล รอยัล จนกระทั่งปี 2491 ได้ปล่อยเช่าให้สถานทูตรัสเซียยาวมาจนถึงปี 2552 และเมื่อปี 2558 ก็กลายมาเป็น The House on Sathorn จนถึงปัจุบัน
- นอกจาก Paii แล้ว The House on Sathorn ยังมี The Bar ค็อกเทลบาร์คุณภาพคับแก้ว หรือบริเวณคอร์ตยาร์ดที่เป็นแหล่งนัดพบช่วงบ่าย หรือมาแฮงเอาต์หลังเลิกงานก็ดีเหมือนกัน ส่วนชั้นบนเป็นคลับเลาจน์สำหรับจัดปาร์ตี้ส่วนตัว และมีห้องจัดเลี้ยงสำหรับการประชุมหรือจัดงานต่างๆ
Paii
Open: เปิดบริการทุกวัน เวลา 12.00-00.00 น.
Address: The House on Sathorn โรงแรม W Bangkok สาทรเหนือ กรุงเทพฯ
Budget: 2,000-4,000 บาท
Contact: 0 2344 4025
Website: www.paiibangkok.com
Map:
ภาพ: สรรเสริญ เกรียงปริญญากิจ, Courtesy of The House on Sathorn
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์