วันนี้ (7 ตุลาคม) เวลา 09.30 น. ณ ห้องฉัตราบอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสยามเคมปินสกี้ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ‘Thailand Economic Big Move’ ในงานสัมมนา ASEAN Economic Outlook 2025: The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity
แพทองธารกล่าวปาฐกถาว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้เข้าร่วมการประชุม ACD (Asia Cooperation Dialogue) ที่กาตาร์ เป็นเวทีสำคัญครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ได้พูดกับประเทศตะวันออกกลาง และมีความร่วมมือหลายอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้าซึ่งคาดว่าน่าจะมีโอกาสดีๆ ที่ส่งผลมาถึงภูมิภาคอาเซียนของเราด้วยเช่นกัน ปีนี้เป็นปีที่ 57 ปีของอาเซียน ทั้งเป้าหมายและแนวทางมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา ช่วงก่อตั้งราวทศวรรษที่ 1960 ปัญหาความขัดแย้งและสงครามยังเป็นปัญหาหลักในภูมิภาคของเรา อาเซียนจึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกมีความมั่นคง หลังจากนั้นอาเซียนมีนโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า จนสามารถสร้างเศรษฐกิจที่เป็นรากฐานมาถึงปัจจุบัน และในช่วงทศวรรษที่ 1990 อาเซียนที่นำโดยประเทศไทย ได้พัฒนาตัวเองเป็นเขตการค้าเสรีอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับกลุ่มเศรษฐกิจอื่นๆ อย่าง APEC ก็เกิดขึ้นในยุคนั้นมาจนถึงวันนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ขอใช้เวทีนี้เล่าถึงเป้าหมายและอุดมการณ์ของรัฐบาลไทย ในฐานะประเทศสมาชิก ที่ต้องการผลักดันให้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อทศวรรษต่อไปของอาเซียนทั้งหมด 4 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นที่ 1 GDP ของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศในวันนี้ มีมูลค่ารวมกัน สูงถึง 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 119 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มจะขยายตัวอีก 4-5% ต่อปีอย่างต่อเนื่องในอนาคต นับเป็นตลาดอันดับ 5 ของโลก และมีประชากรกว่า 670 ล้านคน อาเซียนจึงถือเป็นตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลกในเวลานี้ อาเซียนจำเป็นต้องปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า โดยสมาชิกต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในด้านเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดอาเซียนมีกฎเกณฑ์การค้า การลงทุน และการเก็บภาษี ที่สอดคล้องไปด้วยกันทั้งภูมิภาค เพื่อทำให้นักลงทุนรู้สึกว่าการลงทุนในประเทศสมาชิกหรือประเทศไทยจะเท่ากับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยดึงดูดการลงทุนให้มากขึ้น การลงทุนประชากรไทย 66 ล้านคนเปลี่ยนเป็นการลงทุนกับประชากรอาเซียนที่มีถึง 670 ล้านคน ซึ่งมีโอกาสและศักยภาพมากกว่าหลายเท่า
ประเด็นที่ 2 อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความสงบและไม่มีความขัดแย้งระหว่างประเทศ เป็นจุดเด่นสำคัญที่เหมาะแก่การลงทุน จุดยืนของประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียน รัฐบาลตั้งใจส่งเสริมการลงทุนซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) และยินดีเป็นตัวกลางเชื่อมต่อให้ทุกคนมาพูดคุยกัน อีกทั้งเป็นพื้นที่เจรจาลดความขัดแย้งของโลก โดยเฉพาะในเวลานี้ที่โลกกำลังประสบปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่จีนได้กระจายการลงทุนในประเทศอาเซียนหลายด้าน เช่น อุตสาหกรรมรถไฟฟ้าและการผลิตโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมถึงเข้าไปตั้งกองทุนในประเทศสิงคโปร์ ขณะเดียวกัน นักลงทุนจากสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ก็ให้ความสนใจและเพิ่มการลงทุนด้านสินค้าเทคโนโลยีทั้งในเวียดนาม, ไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และการลงทุน รวมทั้งการสร้าง Data Center ของ Google ในประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไปจนถึงการผลิตโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ของ Apple อาเซียนยังมีบทบาทในการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจหลายครั้ง ด้วยการใช้ไทยเป็นเวทีเจรจาระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนกับที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อไม่กี่เดือนมานี้
“อาเซียนจะต้องมีบทบาทสำคัญในการนำความสงบสุขกลับมาในประเทศเมียนมาโดยเร็วที่สุด เราจะเน้นการทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอย่าง อันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานของอาเซียนในปีหน้า รวมถึงใช้กลไกทางการทูตเพื่อแก้ปัญหานี้ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด” นายกรัฐมนตรีย้ำ
ประเด็นที่ 3 การขนส่งที่เชื่อมโยงการคมนาคมประเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันจะเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับศักยภาพของอาเซียน ในอนาคต อาเซียนจะต้องเชื่อมต่อระบบการขนส่งระหว่างประเทศที่อยู่บนผืนแผ่นดินเอเชีย เชื่อมต่อให้ทั้งระบบเชื่อมโยงกัน ทำให้ส่งสินค้าติดต่อกันได้สะดวก ต้องพัฒนาโครงสร้างการคมนาคมร่วมกันทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทั้งหมดนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการ ทั้งรถไฟทางคู่, การเป็นศูนย์กลางทางการบินของภูมิภาคและแลนด์บริดจ์, ศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำที่เชื่อมอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวมถึงภาพของท่าเรือขนาดใหญ่ที่เชื่อม 2 มหาสมุทร คือ อ่าวไทยและทะเลอันดามันเข้าด้วยกัน เพื่อลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งต้นทุนการผลิตให้กับทุกธุรกิจ นอกจากนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางของการขนส่งอีกแห่งหนึ่งของโลก คือ การส่งออกอาหารและผลผลิตทางการเกษตรไปทั่วโลก การมีโครงสร้างการคมนาคมที่ดี รวมถึงการที่ประเทศไทยจะเป็นพื้นที่เก็บคลังสินค้า (Food Security) โดยนำ AI มาใช้ และมีมาตรฐานระดับโลก จะเพิ่มรายได้ให้กับคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะพัฒนาในจุดนี้และจะทำให้อาเซียนมั่นคงแข็งแรงทางเศรษฐกิจต่อไป
ประเด็นที่ 4 อาเซียนต้องร่วมกันหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดภาวะโลกเดือดให้ได้ เพราะภัยธรรมชาติจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เห็นได้จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นโจทย์หนึ่งของรัฐบาลที่จะเตรียมพร้อมกับประชาชนเพื่อรับมือกับภาวะโลกเดือด รวมถึงเยียวยาสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต้องอาศัยเวลาหลายปีในการวางแผน อีกทั้งจะเร่งรัดนโยบายให้ได้ผลในเชิงปฏิบัติมากกว่าที่เป็นอยู่ และในเรื่องคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และสนับสนุนพลังงานทางเลือกอย่างจริงจัง โดยมีนโยบายเกี่ยวกับการใช้โซลาร์เซลล์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งรัฐบาลจะเร่งรัดดำเนินนโยบายอย่างเต็มที่
แพทองธารระบุว่า ทั้งหมดนี้จะนำไปหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียน แน่นอนว่าจะพูดในภาพรวมและหา Common Strategy ร่วมกัน รวมทั้งจะมีการประชุมแยกเพื่อร่วมมือในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญในแต่ละประเทศ โดยการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44-45 ที่ สปป.ลาว จะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับ Master Plan ของ ASEAN Connectivity 2025 ที่มี 3 แกนวิธีคิดหลัก คือ
- การเชื่อมโยงทางกายภาพ เน้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง
- การเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ มุ่งหวังที่จะปรับนโยบาย กฎระเบียบ และมาตรฐาน ให้สอดคล้องกันในประเทศสมาชิกเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน
- การเชื่อมโยงระหว่างประชาชน เช่น การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม, การศึกษา, การท่องเที่ยว และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ให้มีความสะดวกเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างอนาคตอาเซียนร่วมกับประเทศสมาชิกอย่างยั่งยืน
“อาเซียนที่อยู่ร่วมกันโดยสามัคคีทำให้มีพลังมากกว่าต่างคนต่างทำ: ASEAN together is much more than the sum of its parts.” นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำ