วันที่ 18 สิงหาคม 2567 จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อ แพทองธาร ชินวัตร หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย สร้างสถิติใหม่ในฐานะนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุด และเป็นสตรีคนที่สองที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการที่เธอเป็นบุคคลที่สามจากตระกูล ‘ชินวัตร’ ที่ได้นั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศ ซึ่งสร้างความฮือฮาและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์
บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงวันที่ 15-18 สิงหาคม 2567 พบว่าชาวโซเชียลต่างแสดงความคิดเห็นกันอย่างคึกคัก สะท้อนทั้งความคาดหวังและข้อกังวลต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในแง่มุมที่หลากหลาย ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เผยให้เห็นถึงความแตกแยกทางความคิดในสังคมไทยอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือการสานต่อนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบาย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ที่เคยสร้างกระแสฮือฮาในช่วงหาเสียง แต่กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อประชาชนส่วนใหญ่แสดงความกังวลว่านโยบายนี้อาจจะไม่ได้รับการดำเนินการต่อ ส่งผลให้มีทัศนคติเชิงลบต่อพรรคเพื่อไทยและนายกฯ แพทองธารสูงถึง 74.7% ของการกล่าวถึงนโยบายนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงส่วนน้อยที่ยังคงมีความหวังว่านายกฯ คนใหม่จะสามารถทำให้นโยบายนี้เป็นจริงได้
นอกจากนี้ นโยบายลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ถูกจับตามอง โดยส่วนใหญ่ยังอยู่ในสถานะ ‘รอดู’ ว่านายกฯ แพทองธารจะสามารถทำได้ตามที่สัญญาไว้หรือไม่ ขณะที่นโยบายซอฟต์พาวเวอร์กลับได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวก โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษา การท่องเที่ยว และการยกระดับการผลิตสินค้า
ปัญหายาเสพติดเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างมาก โดยประชาชนต่างแสดงความคาดหวังสูงว่านายกฯ คนใหม่จะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับที่รัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร เคยทำได้ในอดีต
อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งของแพทองธารก็เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะในเรื่องอายุและประสบการณ์ทางการเมือง
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอ้างถึงคำพูดของ อดิศร เพียงเกษ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เคยกล่าวเมื่อครั้งที่มีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า “ไม่ต้องการได้สามเณรเป็นเจ้าอาวาส” ในครั้งนี้จึงมีการเปรียบเปรยกันในบางส่วนของสังคมออนไลน์ว่า “ได้แม่ชีเป็นเจ้าอาวาส” โดยต้องการสื่อถึงแพทองธารอย่างไม่เป็นทางการ
รวมทั้งยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและอิทธิพลของตระกูลชินวัตร บางส่วนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่าแพทองธารอาจเป็นเพียงตัวแทนในการบริหารประเทศแทนอดีตนายกฯ ทักษิณ
แต่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังมีกลุ่มที่แสดงความยินดีและพร้อมสนับสนุนนายกฯ คนใหม่ โดยมองว่าเธอเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่อาจจะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาต้องการให้โอกาสและรอดูผลงานก่อนที่จะตัดสิน
ประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง หลังจากเหตุการณ์ที่อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง ทำให้เกิดความกังวลว่านายกฯ แพทองธารอาจเผชิญชะตากรรมเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการถูกตัดสิทธิทางการเมืองเช่นเดียวกับกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
แม้ว่าประเด็นทางการเมืองจะเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังมีเสียงเรียกร้องให้มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ปากท้อง และความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นสำคัญ บางส่วนแสดงความคิดเห็นว่าต้องการเห็นความสงบของบ้านเมืองมากกว่าการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการวิเคราะห์ Reaction บนเฟซบุ๊ก พบว่าโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับนายกฯ แพทองธาร มีการกดปุ่ม ‘หัวเราะ’ สูงถึง 29% ของ Reaction ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงผิดปกติ การตีความ Reaction ‘หัวเราะ’ นี้อาจไม่ได้สะท้อนถึงความขบขัน แต่อาจบ่งชี้ถึงทัศนคติเชิงลบ ความไม่เชื่อมั่น หรือการเยาะเย้ยต่อสถานการณ์ทางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่คนไทยในยุคดิจิทัลเลือกแสดงความไม่พอใจผ่านฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
ท้ายที่สุดแล้ว เสียงสะท้อนของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียได้เผยให้เห็นภาพอันซับซ้อนของความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์การเมืองไทย ในขณะที่หลายคนรู้สึกเบื่อหน่ายกับวงจรปัญหาทางการเมืองที่ดูเหมือนไร้ทางออก แต่ก็ยังมีประกายแห่งความหวังต่อการเปลี่ยนแปลง ประชาชนยังคงตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปฏิรูประบบการเมือง และยกระดับการบริหารประเทศ
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร / THE STANDARD