ปัจจุบันนี้เมื่อโลกสมัยใหม่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้คนในปัจจุบันต่างก็เปลี่ยนแปลงค่านิยม ความเชื่อ กันมากมาย และนั่นรวมไปถึงแนวคิดใหม่ที่เป็นวิถีการดำเนินชีวิต อีกทั้งพฤติกรรมในการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ เคยสังเกตไหมว่าจากสมัยก่อนที่เราต้องซื้อแผ่นเสียง ยอมจ่ายเงินเพื่อครอบครองเทปคาสเซตต์ ซีดี แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ทศวรรษ ใครที่พกพาซีดีไปด้วยตอนนี้อาจจะดูเป็นคนหลงยุค เพราะในสมัยนี้เราไม่ต้องแม้จะดาวน์โหลดไฟล์ลงอุปกรณ์ แต่สามารถที่จะดูหนัง ฟังเพลง ผ่านทาง Streaming Application ได้เลย แถมยังใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังไม่ต้องเปลืองเนื้อที่ในเมมโมรีของตัวเครื่องอีกต่างหาก ในทำนองเดียวกันเราเริ่มซื้อมือถือกันแบบที่เป็นสัญญาเปลี่ยนค่าย เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ที่สูงสุด โดยไม่ต้องอิงว่าจะต้องยึดติดกับผู้ให้บริการเพียงเจ้าเดียวอีกต่อไป นอกจากนี้ธุรกิจ Airbnb ยังได้รับความนิยมอย่างสูง จนเมื่อปีที่ผ่านมากลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ากิจการมากกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เปิดโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากได้เข้าพักยังบ้านตากอากาศในฝัน คนปัจจุบันจะมีบ้านตากอากาศหลังเดียวไปทำไม ในเมื่อสามารถเช่ากรรมสิทธิ์โรงแรมอันแสนมหัศจรรย์ทุกแห่งในโลกได้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเริ่มมีแนวคิดใหม่ที่ทำให้คนในปัจจุบันมีพฤติกรรมที่แผกไปจากคนรุ่นก่อน ทั้งในเรื่องของไลฟ์สไตล์ และทัศนคติในเรื่องของการถือครองเป็นเจ้าของ จนเกิดคำว่า ‘Renter Generation’ หรือ ซึ่งเป็นคำที่หลายสื่อในต่างประเทศหลายสำนักใช้เรียกชาวมิลเลนเนียลส์ (Millennials หรือ ‘Gen Me’) คนที่เกิดระหว่างปี 1980-2000 ซึ่งคนในช่วงอายุนี้มักจะมีลักษณะร่วมกันก็คือ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ยึดติดกับอะไรง่ายๆ และใช้เทคโนโลยีเก่ง ฯลฯ ด้วยสภาพของเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนในปัจจุบันเริ่มมีความลำบากในการที่จะครอบครองเป็นเจ้าของหรือได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์อย่างถาวร แต่ชาวมิลเลนเนียลส์จำนวนมากก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะพวกเขาหาได้ยึดติดกับกรรมสิทธิ์ที่จะต้องอยู่ยั้งยืนยงไปตลอดกาล เนื่องจากพวกเขาสามารถที่จะ ‘Rent’ มันได้ตราบเท่าที่พวกเขาต้องการ และด้วยสภาพของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป แนวคิดเช่นนี้ก็ไม่ได้จำกัดเพียงสำหรับคนรุ่นมิลเลนเนียลส์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนรุ่นอื่นๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่เริ่มจะไม่ได้ให้ค่ากับมายาคติของกรรมสิทธิ์แบบเดิมๆ อีกต่อไป
เทรนด์ค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของกรรมสิทธิ์
คนปัจจุบันมีทัศนคติต่อความเชื่อและการครอบครองที่เปลี่ยนไปจากสมัยก่อน จากแต่ก่อนซึ่งต้องการครอบครองแบบซื้อขาด ไม่ว่าจะเป็นรถหรือบ้าน หากด้วยราคาของที่ดินในเมืองใหญ่นั้นนับวันมีแต่จะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นทุกทีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการถือครองกรรมสิทธิ์แบบ ‘Freehold’ หรือ ‘กรรมสิทธิ์แบบถือครอง’ ก็เป็นไปได้ยากขึ้น เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามมหานครใหญ่ๆ ทั่วโลก (ยกตัวอย่างลอนดอนซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ลอนดอนจะเป็น City of Renters ภายในปี 2025 ซึ่งจะมีประชากรเพียงแค่ 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีบ้านเป็นของตัวเอง) ทำให้ชนชั้นกลางหลายคนอาจจะต้องหมดสิทธิ์ในการครอบครองไปอย่างน่าเสียดาย หรือไม่ก็ยิ่งต้องทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิตแรงกายแรงใจเพื่อให้ได้มามากขึ้นอีก จนต้องสูญเสียอะไรหลายอย่างไประหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นทั้งโอกาสที่จะมีประสบการณ์ดีๆ ในการใช้ชีวิตเดินทาง ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และเวลาแห่งความสุขที่จะได้ใช้ร่วมกันกับคนในครอบครัว ฯลฯ
ดังที่กล่าวมาทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้คนยุคปัจจุบันจำนวนไม่น้อย ไม่ให้ความสำคัญกับการถือครองกรรมสิทธิ์เทียบเท่าสมัยก่อน เพราะจะไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความสุข และความสำเร็จจากโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ มากกว่า
Leasehold อีกหนึ่งทางเลือกของการถือครองกรรมสิทธิ์
ในอดีตนั้นคนมักจะมองว่า Freehold เป็นคำตอบสุดท้ายที่จะต้องไปให้ถึง แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เมื่อชาวเมืองใหญ่ยังต้องการอยู่อาศัยในเมืองซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตอันดี อีกหนึ่งทางเลือกก็คือ ‘Leasehold’ หรือ ‘กรรมสิทธิ์แบบสัญญาเช่า’ ซึ่งตามกฎหมายของประเทศไทยนั้นจะให้สิทธิ์ในการครองสิทธิ์อยู่ 30 ปี แต่ก็มีข้อดีตรงที่ราคายังถูกกว่าตั้ง 30-40 เปอร์เซ็นต์
อนึ่งคนส่วนใหญ่มักมีความเชื่อฝังหัวกันว่า เมื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมแบบ Freehold แล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเท่าไร กรรมสิทธิ์ในการครอบครองเป็นเจ้าของก็จะยังคงอยู่…แต่ความเป็นจริงก็ไม่ใช่ชั่วฟ้าดินสลายอย่างที่เชื่อกัน เพราะในกรณีที่โชคร้ายที่เจอเข้ากับนิติบุคคลที่ดูแลอาคารไม่ดี เช่น ขาดการดูแลตัวอาคารเท่าที่ควร ทำให้เสื่อมโทรมจนเก่า และสุดท้ายก็จะทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ และขายต่อไม่ได้อยู่ดี แต่ในขณะเดียวกันถ้าซื้อ Leasehold ที่เชื่อใจและมั่นใจในคุณภาพได้ ตัวอาคารสามารถยืนยงอยู่ได้นับศตวรรษ มีการดูแลอย่างดี ทั้งยังสามารถการันตีต่อสัญญาเช่าได้อีกในกรรมสิทธิ์นั้นได้ต่ออีก 30 ปี (ไม่รวมอายุของกรรมสิทธิ์เดิม) ที่สำคัญราคายังถูกกว่าตั้ง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อขายต่อเปลี่ยนมือได้ ก็ยังมีกำไรจากมูลค่าที่สูงขึ้นเพราะอยู่ในทำเลกลางเมืองที่ไม่มี supply ดีๆ อีกแล้ว อย่างนี้จะไม่คุ้มค่าหรือ?
ทั้งนี้ข้อดีอีกอย่างของ Leasehold ที่นอกจากจะจ่ายน้อยกว่าแล้ว คุณยังได้เลือกอยู่ในทำเลที่หาไม่ได้อีกแล้ว ทำเลที่อยู่ในศูนย์กลางของเมืองซึ่งแวดล้อมไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ เป็นการซื้อคุณภาพชีวิต แถมยังมีเงินเหลือเก็บไว้ต่อยอดชีวิตในด้านอื่นๆ หรือเอาไว้ใช้จ่ายเพื่อความสุขและประสบการณ์ที่ดีให้กับตัวเองและคนที่เรารักได้อีกด้วย
ดังนั้นคนที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ ให้กับชีวิต ต้องการจะอยู่อาศัยในศูนย์กลางของเมืองใหญ่ที่เพียบพร้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิต ซึ่งหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว จึงไม่ต้องกลัวไปก่อน อย่าปล่อยให้มายาคติของกรรมสิทธิ์มาพันธนาการให้คุณต้องสูญเสียโอกาสดีๆ ไม่ต้องปิดประตูใส่ทุกครั้งเมื่อทราบว่าเป็นกรรมสิทธิ์สัญญาเช่าก็ได้ เพียงแต่คุณจะต้องเปิดใจให้กว้างและพิจารณาให้ดีและถี่ถ้วนก่อนเท่านั้น
เพราะ Leasehold อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของกรรมสิทธิ์ที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็เป็นได้
อ้างอิง :
- money.usnews.com/money/personal-finance/articles/2016-06-20/are-millennials-the-renter-generation
- www.forbes.com/sites/moneywisewomen/2012/03/01/are-millennials-destined-to-be-a-generation-of-renters/#173c3fe619b4
- www.telegraph.co.uk/finance/property/property-market/12157946/Generation-Rent-London-to-become-a-city-of-renters-by-2025.html