Q: ดิฉันทำงานที่ต้องดีลกับซัพพลายเออร์หลายเจ้า ปัญหาที่เจออยู่คือบริษัทไม่ยอมเคลียร์เงินกับซัพพลายเออร์สักที และดิฉันต้องเป็นคนที่ต้องไปรับหน้ากับซัพพลายเออร์เหล่านั้น รู้สึกทั้งอายทั้งเกรงใจมากค่ะ ขณะเดียวกัน บริษัทก็ค้างเงินค่าโอทีของพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาในงานประจำอีก จะทวงเงินอย่างไรไม่ให้เราดูเป็นคนเห็นแก่ได้คะ หน้าบางเกินกว่าจะไปทวง เครียดมากค่ะ
A: น่าเห็นใจมากครับ เท่าที่ดู คุณเป็นทั้งตัวกลางและเป็นทั้งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงเลยทีเดียว ทุกปัญหามีทางออกครับ ไม่ต้องกลัว
ในระบบนิเวศขององค์กรนั้นมีคนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรมากมาย ตั้งแต่พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น ซัพพลายเออร์ สังคม ภาครัฐ ฯลฯ เพราะฉะนั้น องค์กรจึงไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย องค์กรมีความสัมพันธ์และต้องพึ่งพาอาศัยคนเหล่านี้อยู่เพื่อให้องค์กรดำเนินงานได้อย่างราบรื่น
พูดถึงเรื่องซัพพลายเออร์ ภาพลักษณ์ขององค์กรมีความสำคัญกับซัพพลายเออร์มาก ถ้าองค์กรปฏิบัติกับซัพพลายเออร์ไม่ดี เช่น จ่ายเงินช้า พูดจาไม่เพราะ ชอบกดขี่ ฯลฯ ก็จะไม่มีซัพพลายเออร์รายไหนอยากทำงานด้วย ชื่อเสียงขององค์กรก็ย่อมจะต้องพังพินาศ เรื่องเน่าๆ มันเล่าไปได้ไกลด้วยสิครับ พอไม่มีซัพพลายเออร์อยากทำงานให้องค์กร ปัญหาที่ตามมาคือ งานขององค์กรก็จะชะงัก ซัพพลายเออร์บางรายเป็นคนมีความสามารถ เป็นเจ้าของทรัพยากรที่มีคุณค่า ขาดซัพพลายเออร์ไปก็เรื่องใหญ่ เพราะบางอย่างบริษัทอาจจะผลิตเองไม่ได้ หรือไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพยากรนั้น ต้องจ้างซัพพลายเออร์มาช่วย
ในทางกลับกัน ถ้าความสัมพันธ์หรือภาพลักษณ์ระหว่างองค์กรกับซัพพลายเออร์เป็นไปด้วยดี เขาก็อยากทำงานให้องค์กรเรา เงินอย่างเดียวไม่ทำให้ซัพพลายเออร์ทำงานได้นะครับ แต่ความรัก ความศรัทธา ความสัมพันธ์ที่เรามีให้กันนี่แหละครับที่ทำให้ซัพพลายเออร์ทำงานให้เรายิ่งกว่าเงินที่จ้าง เพราะเขาทำงานด้วยใจ เขาทำงานด้วยความรู้สึกว่าองค์กรที่จ้างเขาเห็นคุณค่าให้ตัวเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องทำดีกับซัพพลายเออร์ อย่าปฏิบัติกับเขาเหมือนทาส เหมือนคนใช้ เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรานี่แหละครับ
การจ่ายเงินไม่ตรงเวลาหรือค้างค่าจ้างนี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับซัพพลายเออร์นะครับ ซัพพลายเออร์ก็ต้องกินต้องใช้ เขาทำงานก็ต้องได้รับผลตอบแทน ซัพพลายเออร์บางคนเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้มี Financial Back up ขนาดที่จะรอเงินได้นานเกิน เราถึงต้องเห็นใจเขา เพราะฉะนั้น เงื่อนไขการจ่ายเงินเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ซัพพลายเออร์จะอยากทำงานหรือเปล่า บางองค์กรมีเงื่อนไขการจ่ายเงินหลังเสร็จงาน 30 วัน 60 วัน 90 วันหรือมากกว่านั้น มีความหมายหมดต่อการทำงานของซัพพลายเออร์
ดูจากที่คุณเล่ามาแล้ว ดูเหมือนบริษัทจะกำลังมีปัญหาด้านการเงินอยู่ ผมว่าถ้าไม่แก้นี่สิจะเป็นเรื่องใหญ่ กระทบการจ่ายเงินกับทั้งซัพพลายเออร์และพนักงานด้วย
การที่คุณรู้สึกร้อนใจที่บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินซัพพลายเออร์เสียทีเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะแปลว่าคุณกำลังปกป้องบริษัทในทางหนึ่ง เพราะคุณเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและซัพพลายเออร์ ไม่อยากให้บริษัทดูไม่ดีในสายตาซัพพลายเออร์ และไม่อยากให้ซัพพลายเออร์เดือดร้อน ถูกแล้วครับที่คุณจะรู้สึกไม่สบายใจ ทีนี้สิ่งที่ต้องคิดต่อคือ คุณจะช่วยดูแลความสัมพันธ์ของซัพพลายเออร์นี้อย่างไร ถ้าพูดกับเขาดี มีทางออกให้ ผมคิดว่าก็น่าจะมีโอกาสที่เขาจะเข้าใจและเห็นใจคุณ แต่ถ้าพูดไม่ดี ไม่มีคำตอบให้ อันนี้แย่เลยครับ
เพราะฉะนั้น ในฐานะคนที่ต้องเป็นตัวกลางระหว่างซัพพลายเออร์กับองค์กร หน้าที่ของคุณคือ ไปหาคำตอบให้ได้ว่าที่ช้า ช้าเพราะอะไร จะได้เงินเมื่อไร จะได้อธิบายซัพพลายเออร์ถูก ผมคิดว่าซัพพลายเออร์อยากฟังว่าจะได้เงินเมื่อไรมากกว่าทำไมถึงช้า บางที ‘ทำไมถึงช้า’ นี่เป็นเรื่องที่เราต้องรู้เพื่อมาแก้ปัญหาในบ้านเรา แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องบอกคนภายนอกทั้งหมด เราขอโทษแทนบริษัท ให้คำตอบว่าจะได้เงินเมื่อไร และนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาแก้ไขปรับปรุงแค่นั้น การพูดดีๆ กับซัพพลายเออร์และน้อมรับผิดช่วยให้สถานการณ์ดีได้ส่วนหนึ่งครับ แต่อย่าเบี้ยวอีก ไม่งั้นพูดดีแค่ไหนก็บรรลัยได้ครับ ไม่มีใครอยากฟังหรือยอมเชื่อคำพูดเราแล้ว
ทีนี้พอคุณเห็นแล้วว่าระบบมันช้า มันมีความขลุกขลัก ทำให้การจ่ายเงินซัพพลายเออร์ล่าช้าไปด้วย ลองเอาปัญหานี้ไปช่วยกันคิดในทีมไหมครับว่าจะแก้อย่างไร ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ก็จะมีผลต่อการทำงานกับซัพพลายเออร์อีก มันจะกลายเป็นปัญหาระยะยาวของบริษัทได้ เรื่องนี้ต้องแก้กันอย่างจริงจังครับ
ส่วนเรื่องที่บริษัทค้างค่าโอทีคุณ อันนี้ต้องทวงครับ อย่าคิดว่าการทวงทำให้เราดูเห็นแก่ได้ เราต้องอย่าให้ความหน้าบางของเรามากลายเป็นจุดที่ใครเอาเปรียบได้ ผมคิดว่าการถามในสิ่งที่พนักงานควรได้รับไม่ได้เป็นการดูเห็นแก่ตัว เรื่องนี้คุณไม่ได้ผิดเลยครับ บริษัทที่ดีก็ควรมีคำตอบที่ดีให้พนักงานเหมือนกันในกรณีนี้ครับ จะดูเห็นแก่ได้ไหมมันอยู่ที่ท่าทีการทวงถามของเรานี่แหละครับ ผมคิดว่าถ้าเราถามอย่างสุภาพ มีหลักฐานพร้อมว่าไม่ได้รับการจ่ายนานแค่ไหนแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ดูก้าวร้าวครับ นี่คือผลประโยชน์ที่เราควรได้ เราไม่ผิดที่จะถามครับ
หลักการในการแก้ปัญหาคือ เมื่อเจอปัญหา เราต้องไม่นิ่งเฉยครับ ปัญหาทุกปัญหาจะไม่ได้รับการถูกแก้ถ้าเรานิ่งเฉยหรือเอาแต่รอว่าเมื่อไรจะมีใครแก้ บางทีบริษัทอาจจะไม่รู้มาก่อนว่ามีปัญหานี้ การที่เราสะท้อนปัญหาใดๆ ให้บริษัทรับรู้ เราต้องมองว่าเรากำลังช่วยให้บริษัทดีขึ้นอยู่ เพราะฉะนั้น อย่าคิดมากครับ
แต่ดูจากที่คุณเล่ามาแล้ว ดูเหมือนบริษัทจะกำลังมีปัญหาด้านการเงินอยู่ ผมว่าถ้าไม่แก้นี่สิจะเป็นเรื่องใหญ่ กระทบการจ่ายเงินกับทั้งซัพพลายเออร์และพนักงานด้วย
ขอให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีครับ
* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai