เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 บมจ.โอสถสภา (OSP) รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 จำนวน 778 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 3.8% YoY และ 131.4%QoQ) โดยได้รับการสนับสนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ฟื้นตัวตามคาด และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่สูงกว่าคาด รายได้อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท (ลดลง 12.4%YoY แต่เพิ่มขึ้น 1.8%QoQ) เป็นไปตามคาด โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศ และการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้กลุ่มเครื่องดื่มในต่างประเทศ
แม้ OSP รายงานส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ 46.6% ใน 1Q66 แต่ลดลงจาก 47.3% ใน 4Q65 เพราะการแข่งขันสูงขึ้นหลังจากคู่แข่งปรับราคาเพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวตามคาดสู่ 33.4% เทียบกับ 29.9% ใน 4Q65 และ 31.7% ใน 1Q65 สูงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส โดยได้รับการสนับสนุนจากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นหลังจากปิดเตาหลอม 1 จาก 7 เตาเพื่อลดต้นทุนซ้ำซ้อนตั้งแต่เดือนมกราคม
ปริมาณการขายที่ปรับตัวดีขึ้น และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 15%QoQ บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน Unicharm จำนวน 306 ล้านบาท เติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 230 ล้านบาท
กระทบอย่างไร:
วันที่ 12 พฤษภาคม เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น OSP ปรับลดลง 2.40%DoD อยู่ที่ระดับ 30.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.96%DoD อยู่ที่ระดับ 1,552.40 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังของ OSP หดตัวลงใน 1Q66 แต่คาดว่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นทุกไตรมาส และจะถึงเป้าที่ OSP วางไว้ว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ได้อย่างน้อย 2% จากปีก่อน โดยจะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทอยู่ที่ +/-50% ภายในสิ้นปีนี้ จากมูลค่าการตลาดของเครื่องดื่มชูกำลังขวด 10 บาท OSP มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 20% ขณะที่มีสัดส่วน 80% ของมูลค่าตลาดในเครื่องดื่มชูกำลังขวด 12 บาท
ทั้งนี้ คาดว่าจะเห็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มมากขึ้นใน 2H66 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มกลุ่ม Functional Drink อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเกิดจากแรงกดดันที่ลดน้อยลงจากต้นทุนวัตถุดิบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำตาล และประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี InnovestX Research มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของส่วนแบ่งการตลาดและกำไรสุทธิในปี 2566 ของ OSP โดยปริมาณการขายและส่วนแบ่งการตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2Q66 เป็นต้นไป กำไรปกติน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นทุกไตรมาส โดยอิงกับสมมติฐานประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และต้นทุนสินค้าขายโดยเฉลี่ยลดลง โดยได้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ไว้ที่ 2.78 พันล้านบาท หรือเติบโต 43%YoY
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังคงคำแนะนำ Tactical Call สำหรับ OSP ไว้ที่ Outperform ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 32 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PE เฉลี่ย 35 เท่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาหุ้นมี Upside จำกัด ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงสำหรับนักลงทุนรายใหม่ และ Let Profit Run สำหรับผู้ที่มีหุ้นตัวนี้อยู่แล้ว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงและความกังวลที่ต้องติดตาม คือ 1. ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบหลัก 2. การแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังยังสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไฮซีซัน (ไตรมาส 2) เมื่อการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขายและราคาอย่างเข้มข้นจะทำให้ค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น และ 3. ความผันผวนในตลาด CLM และปริมาณการขาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หุ้นกลุ่มพลังงาน (โรงกลั่น) – แนวโน้มดีขึ้นหลัง 4Q65 อ่อนแอ
- 10 เรื่องต้องรู้ หุ้น ‘SAF’ ซึ่งเป็น IPO ที่ประเดิมเข้าเทรดตัวแรกในปีนี้
- 5 อันดับตลาดหุ้นให้รีเทิร์นมากสุดนับแต่เริ่มปี 2023 รับ ‘January Effect’