กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยได้รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/64 และงวด 6 เดือนแรกปี 2564 ส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลหลักคือยอดขายและยอดโอน (ยอดรับรู้รายได้) เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการในครึ่งปีหลังอาจจะไม่สวยหรูดังเป้าหมาย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของโควิดทำให้ฟื้นตัวได้ยาก ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อในที่สุด
พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ปีนี้น่าจะใกล้เคียงปีที่แล้ว ก็คือยังอยู่ในโซนติดลบเมื่อเทียบกับปี 2562 และประเมินว่าน่าจะได้เห็นการฟื้นตัวที่แท้จริงในปี 2566 เนื่องจากตลาดอสังหาฯ ยังได้รับแรงกดดันจากโควิดที่กระทบต่อกำลังซื้อ และเป็นปัจจัยลบที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนเผชิญกับสภาวะ K-Shape ขาล่าง
มองตลาดอสังหาฯ ฟื้นจริง 2566
โดยประเมินว่าน่าจะเริ่มเห็นการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ราว 15% ซึ่งก็ถือว่ายังไม่ฟื้นตัวมาก เพราะในปี 2563 ภาคอสังหาฯ ติดลบถึง 25% ขณะที่ปี 2564 ก็ยังไม่เห็นการเติบโต เพียงแต่ไม่ติดลบเพิ่มขึ้น และปี 2566 คาดว่าตลาดรวมน่าจะเติบโตราว 10-15%
พีระพงศ์กล่าวว่า ในสภาวการณ์วิกฤต สิ่งที่ไม่เหมือนกันของภาคอสังหาฯ คือความสามารถในการสู้จะไม่เท่ากัน ซึ่งวิกฤตการณ์รอบนี้จะทำให้เราได้เห็นอสังหาฯ ทั้ง K-Shape ขาบนและขาล่าง โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่นอกตลาด (Non-listed) เนื่องจากผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนจะมีกำแพงกันกระแทกที่หนากว่าผู้ประกอบการ Non-listed
อย่างไรก็ตาม หากวิกฤตโควิดยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้า ก็อาจจะได้เห็นอสังหาฯ ที่เป็น บจ. เข้าข่าย K-Shape ขาล่างได้เช่นกัน
ปั้น New S-Curve หวังโตระยะยาว
กลยุทธ์หลักและนับได้ว่าเป็นมาสเตอร์แพลนของ ORI ในปีนี้และปีหน้า คือการสร้าง New S-Curve เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว และกระจายความเสี่ยงให้กับรายได้
โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ORI ได้สร้าง New S-Curve อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย
- ธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare) โดยเริ่มต้นจากการจัดตั้ง บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ขึ้นมาเป็นบริษัทหลักในการดำเนินกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ และเริ่มต้นความร่วมมือธุรกิจแรกด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ KIN Rehabilitation & Homecare ผู้พัฒนาธุรกิจบริการด้านสุขภาพเพื่อการดูแลด้านเวชศาสตร์การฟื้นฟูเฉพาะทาง และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การฟื้นฟูอีก 2 ท่าน ในสัดส่วน 40:40:20 ภายใต้ชื่อ บริษัท คิน ออริจิ้น เฮลแคร์ จำกัด เพื่อร่วมกันพัฒนาและดำเนินโครงการ คิน ออริจิ้น เฮลท์แคร์ เซ็นเตอร์ (Kin Origin Healthcare Center) โรงพยาบาลกายภาพบำบัดและสหคลินิกเวชกรรม ที่จะให้บริการดูแลด้านสุขภาพเวชศาสตร์การฟื้นฟูและกายภาพบำบัดแห่งแรกในเครือออริจิ้น
- ธุรกิจโลจิสติกส์ โดยร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับ บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD จัดตั้ง บริษัท Alpha Industrial Solutions เพื่อดำเนินธุรกิจ Logistic Center โดยจะดำเนินการเสร็จสิ้นในไตรมาส 2/65
- ธุรกิจบริการด้านการเงิน โดยจะเน้นธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) โดยเฉพาะหนี้ที่มีหลักประกันเป็นหลัก เนื่องจาก ORI มีความเชี่ยวชาญด้านที่ดินและที่อยู่อาศัย รวมถึงให้บริการรับฝากขายที่ดิน ภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ ORI เงินติดดิน และให้บริการนายหน้าประกันวินาศภัย
- ธุรกิจพลังงานทดแทน โดย ORI ร่วมมือกับ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ GUNKUL จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท ออริจิ้น กันกุล เอ็นเนอร์ยี จำกัด เพื่อร่วมกันดำเนินกิจการด้านพลังงานทดแทน/พลังงานสะอาดในโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ในสัดส่วนการร่วมทุน 50:50 เตรียมพัฒนาต่อยอดสู่โครงการที่อยู่อาศัยในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เป็นครั้งแรก โดยอยู่ระหว่างการรอจดทะเบียนจัดตั้ง ENERGY ทั้งการทำ Private PPA Business Model สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม, การพัฒนาโซลาร์เซลล์สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบ และการติดตั้ง EV Charger ให้ครบ 200 แท่นภายในปี 2565
“New S-Curve ที่ ORI แตกไลน์ธุรกิจออกมาเป็นเมกะเทรนด์ทั้งหมด ทั้งด้านสุขภาพ ด้านการเงิน และพลังงานทดแทน และเป็นเมกะเทรนด์ที่ ORI สามารถใช้ความเชี่ยวชาญที่มีทั้งในด้านการประเมินที่ดินและทำเล การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และความเข้าใจความต้องการลูกค้า มาต่อยอดกับเมกะเทรนด์ พัฒนาเป็น New S-Curve ขึ้นมา เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว” พีระพงศ์กล่าว
ตั้งเป้า 5 ปีมีรายได้จาก New S-Curve 30%
ทั้งนี้ ORI วางเป้าหมายรายได้ภายใน 5 ปีจะมีรายได้จาก New S-Curve ประมาณ 30% ของรายได้รวม ส่วนรายได้จาก Core Business ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 70% และในระยะ 5-10 ปี สัดส่วนรายได้ระหว่าง Core Business และ New S-Curve จะอยู่ที่ 50:50
ทั้งนี้ ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,671 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ส่งผลให้รายได้รวมขณะนี้คิดเป็น 55% ของเป้ารายได้ทั้งปี 2564 ขณะเดียวที่มีกำไรสุทธิ 1,677 ล้านบาท เติบโตขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปี 2563
โดยเฉพาะผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/64 ที่มีส่วนสำคัญให้ภาพรวมครึ่งปีแรกยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,801 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิที่ 852 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมถึงยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ได้ที่ 22.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สิ้นไตรมาส 2/64 มี Backlog อยู่ที่ 34,679 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 9,410 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2565-2567
โดย ORI ยังคงเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 20 โครงการ มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังจะเปิดโคงการ 14 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท